วันพฤหัสบดีที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ทุกวันนี้ยังมีส่วยอีกไหม

คุณว่าทุกวันนี้ เรายังมีส่วยอยู่ไหม ผมว่ามันขจัดไม่ได้ในสังคมมนุษย์ มันมีกันทุกประเทศนะผมว่า มันลามไปยังหนัง ภาพยนต์ และการใช้ชีวิตของแต่ละคน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่ต้องทำไปแล้ว แบบว่า ทำเป็นกิจวัตรจนคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาและถูกต้องไปแล้วสำหรับสังคมในบางแห่ง ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทย เราควรที่จะมีการปฏิรูปประเทศไทยในเรื่องส่วยพวกนี้อย่างไร

ตอนนี้กระแสแอนตี้เกาหลีกำลังฮิตและอินเทรนด์กันมาก ลามไปถึงต่างฝ่ายต่างด่าทอกันผ่าน social กันมากมาย เพราะความไม่เป็นธรรมในกฏและกติกา และมีส่วย เข้ามาเกี่ยวข้อง หลายคนถามว่า ทำไมเจ้าภาพจัดการแข่งขันไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมอะไร ทำไมถึงต้องโกงกันทุกประเทศ จริงๆ มันโกงกันนาน โกงกันเข้ากระแสเลือดกันไปแล้ว ลืมไปเลยเรื่องมนุษยธรรมค้ำจุนโลก มันค้ำได้จริง แต่อยู่ยากขึ้นทุกวัน ผู้รอดชีวิตก็ยังค้ำจุลโลก แต่คนที่สบายคือ คนเดินถนนธรรมดา วันนี้อาจไม่เกี่ยวกับเรื่องปฏิรูปประเทศไทย แต่อยากบ่นเล็กน้อย



หากเราจะกำจัดเรื่องนี้อย่างจริงจัง คงต้องสลายมวลมนุษยชาติทุกสายพันธุ์แล้วกำเนิดสปีชี่ใหม่กันตั้งแต่เริ่มแรก ถึงจะกำจัดเรื่องพวกนี้ได้ การปฏิรูปประเทศไทยก็เหมือนกัน มันหยั่งรากลึกเกินกว่าจะแก้ไข มีอย่างเดียวที่จะทำให้มันลดน้อยลงไปได้ แต่ไม่มีทางหายขาด นั่นคือ การจับผิดซึ่งกันและกัน แม้จะเป็นทางแก้ไขที่ ไร้ประโยชน์และปลายเหตุ แต่มันก็ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

หรือท่านคิดว่าจะมีทางออกแบบไหนบ้าง ลองเสนอกันเข้ามาดู

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2557

เริ่มภารกิจ ถอดลิ้ง

ผมจะลองถอดลิ้งออกทั้งหมดดูว่ามันจะอันดับร่วงหรือยังอยู่ ตามความรู้สึก น่าจะร่วง ถ้าเอาออกจนหมด เพราะถือว่าจบภารกิจแล้ว เว็บนี้เข้าหน้าแรกแล้วถือว่าภารกิจการทำคีย์ สิ้นสุดลงแล้ว ประสบความสำเร็จครับ

update ผมว่าผมยังต้องใช้ blog นี้อยู่ ดังนั้นผมขอยกเลิกภารกิจทิ้ง blog นี้ แต่ไม่เพิ่ม bl ให้กับ blog นี้ล่ะ ทำตามปกติคือเพิ่มเนื้อหาอย่างเดียว

ขอบคุณที่ติดตามกันครับ

วันพุธที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สังคมเราทุกวันนี้

ไม่ใช่แค่ต่างประเทศ แต่เกือบทุกประเทศ ที่มีเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท ทำให้ทุกอย่างดูเหมือนจะมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น จริงหรือ เพราะในความเป็นจริง เทคโนโลยี เติบโตสวนกระแส จิตใจคนพัฒนาดิ่งลงเหว
สังคมเรา เริ่มแย่ลงทุกวัน เทคโนโลยีไม่ได้ช่วยพัฒนาจิตใจ แต่ช่วยมาตอกย้ำให้ความขี้เกียจเข้ามาในจิตใจ ส่งผลให้ความขี้เกียจนี้กลายเป็นความเห็นแก่ตัว

วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557

จบแล้วกับการทดสอบคีย์ ปฏิรูปประเทศไทย

สิ้นสุดการรอคอย สำหรับการแข่งขันเล็กๆ เพื่อทดสอบคีย์ ปฏิรูปประเทศไทย นี้ โดยผมสร้างบล็อกเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปนี้จำนวน 2 บล็อก และมีบล็อกเก่าเกี่ยวกับการเมืองอีก 1 บล็อกกับหน้าใน wikipedia แต่ดูเหมือนอย่างหลังจะมีการเข้มงวดมาก ผมเพิ่ม back link ใน wikipedia ไม่ได้เลย มีคนตรวจสอบและแบนบล็อกเหล่านี้เกลี้ยง

มันเลยทำให้อันดับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ติดหน้าแรกใน 3 อาทิตย์แรกล่ะ สำหรับคีย์นี้ ปฏิรูปประเทศไทย ต่อจากนี้ไปคงจะมา update นานๆ ครั้งแล้วในด้านเนื้อหา ขอบคุณสำหรับหลายๆ ท่านที่ติดตามชม แม้ว่าผมจะดูแล้วคงไม่มีใครผ่านเข้ามาอ่านเนื้อหาเท่าไหร่เพราะมันไร้สาระเกินไป

จบแล้วกับการทดสอบคีย์ ปฏิรูปประเทศไทย


แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เราในฐาระประชาชนชาวไทยก็ยังต้องการเห็นการปฏิรูปประเทศไทยเป็นไปในทางที่ดีขึ้น แล้วพบกันใหม่เมื่อชาติต้องการนะครับ ขอจบเนื้อหาเพียงเท่านี้

ลืมบอกไป อันดับบล็อกนี้อยู่หน้าแรกครับ อันดับที่ 6 back link ประมาณ 10-12 รายการ อาจจะน้อยกว่านี้เพราะโดนลบออกไปตั้งเยอะ

จบแล้วกับการทดสอบคีย์ ปฏิรูปประเทศไทย


(จะได้ค่าแข่งขันมั้ยนะ อิอิ)

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เราโตกันมาอย่างไร

เคยคิดกันไหมครับ ว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ที่มีความสามารถเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้ และท่านก็เป็นคนดีได้ จนสามารถนำพาครอบครัวไปสู่ความสำเร็จ มีเงินมีทองให้เราใช้จนเหลือเฟือกันทุกวันนี้ เค้าเลี้ยงเรามาอย่างไร ปล่อยปละละเลย หรือเลี้ยงด้วยไม้เรียว ผมเชื่อแน่ว่าคนในวัย 30+ หรือบางคนอยู่ในวัย 25+ เคยผ่านไม้เรียวมาก่อน และแน่นอน ไม้เรียวนั้นมันทำให้เราเป็นคนดีและมีคุณภาพอย่างไร น่าจะรู้กันดี ทีนี้อยากจะเอาไม้เรียวมาเปรียบกับการปฏิรูปประเทศไทยซักเล็กน้อย

ไม้เรียวเกี่ยวอะไรกับประเทศไทย จริงๆ เราทุกคนที่เป็นคนไทยมักไม่ชอบคิดเอง แต่ก็ไม่อาจบอกได้ทั้งหมดว่าคนไทยบางส่วนเป็นคนหัวสมัยใหม่ตามสมัยนิยมที่มีความคิดเสรีชน แต่โดยทั่วไปคนไทยเกือบจะครึ่งค่อนประเทศ ไม่ชอบการคิดเองแต่ชอบที่จะทำตาม แม้ในบางครั้งการให้หัวข้อไปนั่งคิดจะเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ ที่ทำให้มีความคิดนอกกรอบ แต่กระทั้งสิ่งแรกสุดคือ คนไทยไม่ชอบเริ่มก่อน และชอบมีนิสัยที่จะต้องใช้การบังคับกันเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธี เพื่อที่จะทำให้ไฟในตัวลุกโชนขึ้นได้ คนไทยจึงมีนิสัยชอบโดนบังคับกลายๆ อยู่ในสายเลือด เพราะหากให้เดินเองจะเป๋ไปเป๋มา ไม่เจริญเสียที แม้ในบางครั้ง แน่นอนว่าเดินไปถึงความสำเร็จแต่อาจจะใช้เวลานานไปซักหน่อย ผิดกับคนที่มีผู้ชี้ทาง กลุ่มคนเหล่านั้นจะมีโอกาสสำเร็จเร็วและยั่งยืนกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการปฏิรูปประเทศไทย จำเป็นต้องมีการบังคับจับมือให้ทำกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่อย่างนั้น ไม่มีทางสำเร็จได้

จะปฏิรูปประเทศไทย ต้องปรับที่ครอบครัว


ประเทศอื่นที่มีพวกหัวสมัยใหม่ ไม่ชอบการบังคับ เพราะเค้าถูกปลูกฝังมาแต่เล็กเกี่ยวกับเสรีภาพในการใช้ชีวิต ในต่างประเทศเมื่อวัยรุ่นเข้าสู่ช่วงอายุหนึ่งจะต้องออกไปผจญโลกกว้างด้วยตัวเอง เหมือนลูกนกที่พ่อแม่สอนให้บินสอนหาอาหารจนเก่งแล้วจะต้องใช้ชีวิตเอง แต่สำหรับคนไทย ลูกๆ สามารถเกาะและอยู่กับพ่อแม่จนแก่เฒ่าได้โดยที่สังคมไม่มีการตำหนิใดๆ แต่จะผิดกับครอบครัวต่างประเทศที่หากครอบครัวไหนมีลูกๆ ที่ยังเกาะพ่อแม่กินจนอายุเข้าวัยกลางคน เค้าจะถูกสังคมประนามกลายๆ

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศต่างชาติเจริญเอาๆ เพราะแต่ละคนจะต้องหัดมีความคิดและความเป็นอยู่ รวมทั้งความรับผิดชอบต่อทุกส่วนด้วยตัวเอง แต่ในครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีแนวคิดจะพึ่งพาตนเองแต่แรก แต่กลับจะให้พ่อแม่คอยชี้แนะไปจนตาย หากเราจะปฏิรูปประเทศไทย เราต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดในการสอนวิธีเอาตัวรอดและการรับผิดชอบต่อสังคมเสียใหม่ ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต้องคอยชี้แนะ ต้องหวดกันด้วยไม้เรียวไปตลอด

หรือว่าประเทศไทยไม่เหมาะกับการขาดไม้เรียวจนชั่วลูกชั่วหลาน

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เหตุเพราะความเหลื่อมล้ำ

เคยคิดไหมว่า สาเหตุทั้งหมดที่ประเทศไทยประสบปัญหาไปต่อไม่ได้นี่เป็นเพราะอะไร และที่หลายกลุ่มออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทยในเร็ววันนั้น จริงๆ เค้าต้องการอะไร และคนส่วนใหญ่ที่ออกมาบ่นว่ามันไม่ยุติธรรมนั้น เค้าต้องการอะไรในส่วนลึก คงไม่ใช่ต้องการไล่ใครซักคนออกนอกประเทศ หรือไล่เครือญาติเค้าให้ไปจากประเทศ เพราะถึงแม้ว่าพวกเค้าจะไม่อยู่ในประเทศนี้ อย่างไรเสียเยื่อใยหรือความเกี่ยวข้อง มันก็ต้องมีอยู่ไม่สามารถตัดขาดจากกันได้ง่ายๆ หรือหากให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาบริหารบ้านเมืองแทน คิดหรือว่าประเทศจะไปต่อได้ไกลแค่ไหนก็เท่าที่เค้าเคยบริหารมาตั้งแต่สมัยเราๆ ยังเป็นเด็ก มันก็ไม่ได้เจริญไปกว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย เลยด้วยซ้ำ

แล้วเหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหลายนี้เกิดจากสาเหตุใด ความไม่ยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปากท้องของชนชาวไทยที่มีจำนวนมากและส่วนใหญ่ของประเทศในระดับล่าง หรือชนชั้นล่าง ถือเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดี ความเจริญก้าวหน้าของประเทศไม่ได้วัดกันด้วยกลุ่มคนรวยชั้นสูงเพียงหยิบมือ เพราะพวกเค้าเหล่านั้น ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ไม่สามารถตัดประเด็นไปได้เช่นกัน เสมือนไม่สามารถตัดชนชั้นแรงงานไปได้เช่นกัน เพราะปัจจัยที่ทำให้ประเทศเดินไปได้ ก็ด้วยการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่นำไปสู่ความต้องการของคนกลุ่มนี้มีมากที่สุดนั่นเอง หากจับจุดไม่ได้ว่าทำไมถึงมีความขัดแย้งและจะมา ปฏิรูปประเทศไทยสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางหลุดพ้นเงื่อนงำเก่าลงได้

ประเด็นหลักคือการทุจริต ข้าว ที่เป็นที่มาของความจำเป็นของชาวนา และเป็นที่มาของการทุจริตในโครงการต่างๆ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลปัจจุบัน (2556) จะบริสุทธิ์ และไม่ใช่ว่าโครงการเกี่ยวกับข้าวของรัฐบาลชุดก่อนจะดี (2553) แต่ทำไมในยุคนี้คนทั่วไปถึงคิดว่ามีการทุจริตกันในวงกว้าง เพราะตรวจสอบแล้วว่า ข้าวในโกดังหายไปถึงสองจุดแปดล้านตัน ยังคงคลุมเครือว่าหายไปไหน แต่ในความเป็นจริง ข้าวไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้เน่า เพราะหากข้าวจำนวนมากขนาดนั้นเน่า ย่อมส่งกลิ่นเหม็นกันทั้งประเทศ มันไม่ได้หาย แต่มันไปอยู่ต่างประเทศ

เหตุเพราะความเหลื่อมล้ำ ทุจริตข้าว


ในวงการค้าข้าวย่อมรู้ดีว่า การส่งออกข้าวนั้น ประเทศไทยยังคงเป็นอันดับต้นๆ แล้วเค้าเอาข้าวที่ไหนไปขาย ในเมื่อปีๆ นึงข้าวจะสามารถผลิตได้ไม่ต่างกันมากนัก แต่จำนวนส่งออกกลับไม่ได้เพิ่มหรือลดลงจนเรียกว่า ข้าวหมดสต๊อกได้ แล้วข้าวไปไหน แน่นอน ผู้ส่งออกก็เอาข้าวที่รัฐมี หรือที่ชาวนาผลิตนั้น ส่งออกไปตามปกติ เพียงแต่ส่วนต่างที่มีนั้น มาจากรัฐบาลในขณะนั้น

ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ก็สนับสนุนให้มีการส่งออกข้าวได้ตามปกติ ต่างกันแค่ว่ากรรมวิธีในการได้ข้าวมานั้น แตกต่างกันแค่ไหน ข้าวไม่ได้หายไปไหน แต่เล็ดรอดขั้นตอนจากโกดังไปยังมือผู้ส่งออกทำให้หลายคนมองไม่เห็น จึงคิดไปว่า ข้าวหาย

ปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้ ควรสอบถามผู้ส่งออกข้าวทุกราย ว่าได้ข้าวมาอย่างไร ใครเป็นคนสนับสนุน แต่จะว่าไปใครจะบอกกันง่ายๆ ความซวยจึงตกแก่ชาวนา ได้เงินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ต่อให้นโยบายดีอย่างไร แต่หากขั้นตอนถูกแทรกแซง มีการทุจริต ความยากจนของชาวนาก็ยังคงไม่หลุดพ้นไปจากชีวิต ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็จะมีอยู่ร่ำไป

แต่ใครจะสน หากมองในมุมธุรกิจ ความเคยชินต่อการโกงและการเอาเปรียบ มันเข้าไปในกระแสเลือดยากที่จะหยั่งถึง ใครจะไปสนคนชนชั้นแรงงาน เมื่อความเดือดร้อนเพิ่มชนแรงงานก็ไม่ทน สรุป วังวนปัญหาที่หาทางรอดไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

โค้งสุดท้าย ปฏิรูปประเทศไทย มาแรง

ครับ โค้งสุดท้ายแล้ว ไม่น่าจะใช้เวลาเกินเดือน กรกฏาคม 57 นี้ สำหรับการตกลงว่าฝ่ายไหนจะเอาอย่างไรโดยที่ ทหารเป็นตัวกลางในการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ประเทศได้เดินไปข้างหน้าอย่างด่วน เพราะหลายปัจจัยได้จี้ประเทศไทยเข้ามาแล้วว่า ประเทศนี้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศไทยอย่างเร่งด่วนได้แล้ว รอไม่ได้แล้ว ขืนนานกว่านี้อาจตามหลังเวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชาไปอีกร้อยปี แม้จะฟื้นตัวได้ทันแต่ก็ไม่แน่ว่าจะตามทัน

กับความตึงเครียดจากหลายปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยหยุดชงักมาอย่างยาวนานหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีอะไรๆ ที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้แต่ก็ยังคงล้มลุกคลุกคลานกัน จนตอนนี้ประเทศเราได้ยืนสงบนิ่งแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และพร้อมที่จะก้าวเดินใหม่อย่างมั่นคนด้วยการปลดพันธกิจทั้งหลายที่พยายามฉุดรั้งประเทศมาอย่างยาวนานออกด้วยน้ำมือ ทหารหาญของเราเอง ผู้ปกป้องประเทศจากข้าศึกและระบบที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเร็วรี่ เพราะบอบช้ำมานานมากแล้ว

ลองปฏิรูปประเทศไทยกับแนวคิดใหม่


เวลานี้ข่าวไม่ว่าจะสำนักไหนล้วนแต่มีหัวข้อของ ทหารกุมอำนาจเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ใครจะว่าไม่ดี หรือใครจะว่าดี ก็แล้วแต่ความคิด สำหรับผม อะไรก็ตามที่ทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ก็ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบไหนก็ดีทั้งนั้น ขออย่าจำกัดสิทธิ์ในการใช้ชีวิตของประชาชนก็พอ จะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น

ในเวลานี้ แต่ขออย่างเดียว อย่าปิด 7-11 ก่อน 4 ทุ่มได้ไหม คนมันหิวข้าวกลางดึก

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปประเทศไทย ก่อนจะไปเลือกตั้ง?

หลากหลายแนวทางที่ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับปฏิรูปประเทศไทย ก่อนเลือกตั้ง ผมคงไม่ไปสรุปแนวความคิดของหลายๆ คนที่ให้คำจำกัดความไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่อยากจะเห็นประเทศไทยเดินไปข้างหน้าและ ไม่เชื่อถือระบบเลือกตั้งจึงต้องมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบก่อน ในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้เพราะหากจะปฏิรูปมันก็ต้องมีการออกกฏเกณฑ์ในหลายๆ ส่วน แล้วกฏเกณฑ์เหล่านั้นอาจถูกบัญญัติไปเป็นกฏหมาย แล้วใครมีอำนาจเสนอร่างกฏหมายและประกาศใช้ ก็ต้องเป็นคณะรัฐมนตรีและ สส.ในสภาฯ นั่นแหละ แล้วทีนี้เมื่อไม่มีการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่มี สส.ไม่อยู่ รัฐมนตรีทั้งหลายล้วนถูกไล่ออก ใครจะเป็นคนทำในส่วนนี้

อย่าบอกนะว่าใช้มาตรการฉุกเฉินประกาศด้วยอำนาจเฉพาะกลุ่ม พูดให้สวยหรูไปเลยดีกว่าว่าจะปฏิวัติ หรือรัฐประหาร เพราะในเมื่อผู้มีอำนาจไม่มี ก็ตั้งตนเป็นผู้มีอำนาจเต็มที่เพื่อจะประกาศใช้เสียเอง ไม่ต่างอะไรกับการมัดมือมัดเท้าประชาชนและตั้งตนเป็นผู้ปกครองเสียเอง ระบบอะไรคุ้นๆ กันไหม มันไม่ใช่การปฏิรูปประเทศไทย แต่มันเป็นการยึดอำนาจ

แล้วการไม่เชื่อระบบเลือกตั้ง จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ในหลายๆ ความเห็นต่างๆ กันไม่มีใครเสนอแนวคิดที่ดีเลย ว่าทำอย่างไร การปฏิรูปประเทศไทยจริงๆ เป้าหมายการปฏิรูปนั้นก็ชัดเจนทุกกลุ่ม คือ การลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดคอร์รัปชัน กระจายอำนาจและทรัพยากร วิธีการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจ พัฒนาศักยภาพมนุษย์ เพิ่มผลิตภาพโดยรวม และกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ

เหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดแต่วิธีการก็ละเอียดอ่อน ไม่มีที่ไหนเสนอแนวทางออกให้แก่ประเทศไทยด้วยวิธีการที่จะนำไปใช้ได้จริง

หาแนวทาง ปฏิรูปประเทศไทย ให้เดินไปข้างหน้า
วันนี้ผมอยากจะเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในหัวข้อการตรวจสอบการเลือกตั้งและกระบวนการตรวจสอบของการเข้าสู่อำนาจผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น สส.สว. หรือสามารถนำไปใช้กับการเลือกตั้งได้ทุกระบบดังนี้

1. ให้ผู้สมัครเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกทุกส่วนโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เพื่อความโปร่งใส ประชาชนทุกคนล้วนมีสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์ได้ในทุกเรื่องยกเว้นเรื่องส่วนตัวโดยไม่ผิดกฏหมาย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการหาเสียง
2. การคัดสรรผู้สมัคร จะต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินทุกรายการ รวมถึงที่มาที่ไปของเงินรายได้ทั้งหมด พร้อมระบุเครือข่าย หัวคะแนน ฯลฯ ทุกข้อมูลที่จะส่งผลให้ผู้สมัครได้คะแนนนิยม
3. หากมีหรือเจอกรณีทุจริต ให้ผู้สมัครเหล่านั้นเคลียร์ให้ชัดเจนต่อสาธารณะชน และศาลตัดสินแล้วว่าไม่ผิดจริง ถึงจะลงสมัครได้ ไม่ใช่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดี หรือมีด้านมืดที่ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครกล้าแตะ แบบนี้ไม่สามารถลงเลือกตั้งได้
4. ต้องมีผลงานที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เพราะฉะนั้นแล้ว หากผู้ใดต้องการรับใช้บ้านเมือง คุณจะต้องเสียสละให้แก่บ้านเมืองโดยไม่หวังผลมาแล้วกว่า 5 ปี หากไม่มีผลงานใดๆ ก็ไม่ให้ลงสมัคร ยกเว้นไม่มีผู้สมัครเพียงพอ ให้ใช้ความดีที่มีลดหลั่นกันไปได้
5. มีนโยบายที่สามารถทำได้จริง ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่คิดนโยบายเพื่ออยากดัง สร้างความเพ้อฝัน แต่ทำไม่ได้จริง ก็ไม่ให้ลงสมัคร
6. ผู้สมัครต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองนี่แหละ เป็นตัวถ่วงดุลอำนาจประเทศอย่างเห็นได้ชัด หากไม่มีพวกพ้อง การคอรัปชั่นก็จะเกิดยาก ทุกคนทำหน้าที่ตัวเอง ทำให้ชาติเจริญ ไม่ใช่ทำให้พรรคเจริญ
7. คะแนนจากประชาชนถือเป็นมติสวรรค์ องค์กรอิสระอย่าง กกต. ไม่สามารถคัดค้าน หรือระงับ หรือละเลยการพิจารณาผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงมากให้ชนะได้ กกต.สามารถทำได้ตามหน้าที่คือ จัดการ ตรวจสอบ และรับรองเท่านั้น
8. ในสภา สส.และ สว. เลือกตั้งกันเองว่าใครจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน เลือกผู้นำฝ่ายกันเอง โดยไม่มีเงื่อนไขของพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนเป็นอิสระจากกัน ลบและล้างระบบการเลือกตั้งนายกรัฐมลตรีจากประชาชน ประชาชนเลือกเฉพาะ สส. สว. ส่วน สส. สว. เข้าไปเลือกนายก ไม่ใช่เหมือนในปัจจุบัน ลงสมัครนายกตั้งแต่ยังไม่ได้เลือก สส. แบบนี้ยกเลิกไปเลย
9. งบประมาณแบ่งสรรปันส่วนให้เท่ากัน และตั้งกฏเกณฑ์ทุกกระทรวงต้องมีกำไรไม่น้อยกว่า 10% ของงบประมาณรายได้ที่เบิกจ่าย คุณจะเอาเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนอะไรก็แล้วแต่ จะต้องมีกำไรเข้ามาอย่างน้อย 10% ของงบประมาณ ถ้าไม่มีกำไร ปีต่อไปก็ต้องลดงบประมาณกระทรวงนั้นลง 10% แต่หากทำกำไรได้ ก็ได้งบเพิ่มอีกสูงสุด 10% เพื่อป้องกันไม่ให้เอาเงินไปกินกันเองจนพุงกาง
10. สส. สว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง และไม่สังกัดพรรคการเมือง มีวาระ 4 ปีเท่ากัน ครบวาระเลือกใหม่ทั้งระบบ ถ้าใครคนใดไม่ทำหน้าที่ในข้อ 4 ก็อย่าหวังว่าจะได้เกิด
11. หมดยุกเครือข่าย ญาติมิตร ครอบครัวนักการเมือง ครอบครัวใด ญาติมิตรใดมีหน้าที่เป็นนักการเมือง ครอบครัวนั้น ญาติมิตรนั้น เป็นได้แค่คนเดียว และห้ามครอบครัว ญาติมิตร คนรู้จัก เข้าร่วมประมูลโครงการใดๆของรัฐที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นประธานหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงนั้นๆ หากตรวจสอบเจอว่าขัดขืนต้องจ่ายค่าเสียหาย 100% และยกเลิกว่าจ้างทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

และอีกหลายๆ ข้อยังคิดไม่หมด

ในบางครั้ง กฏระเบียบและแบบแผนหลายอย่าง อาจใช้ไม่ได้กับประเทศไทยและคนไทย ที่มีความเอื้อเฟื้อทำให้คนโกงคนกินไม่รู้จักตายเพราะนิสัยคนไทยที่ชอบใช้คำว่า ช่างมันหรือปล่อยให้เวรกรรมจัดการ มันหมดยุคสมัยไปแล้ว

ก็เป็นแค่แนวคิดขำๆ

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อนาคตประเทศไทย ใครกำหนด

ถามกันมามากว่า ต่อไปอนาคตประเทศไทย จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน ตอบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าในอนาคตนั้น ใครจะมากำหนดแนวทางการเดินให้แก่ประเทศต่อไป อย่างไรประเทศก็ต้องผ่านการบอบช้ำมาชนิดที่เรียกว่า หยอดน้ำข้าวต้มกันเลยทีเดียว และยากที่จะกลับมาแข็งแรงได้ดั่งเดิมภายในปีสองปีแรก หากในอนาคตคนกลุ่มเดียวกันหรือพวกพ้องเดียวกันกับผู้บริหารที่ทำให้ประเทศล่มสลาย กลับมาเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างเดิมแล้วไซ้ ก็ไร้วี่แววว่าจะมีการพัฒนาไปอย่างยั่งยืนได้

แล้วอนาคตประเทศไทย ใครเป็นคนกำหนด จริงๆ แล้วทุกคนสามารถกำหนดแนวทางให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ เพียงแต่แนวทางของประชาชนทั่วไปนั้นเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ผูกโยงอยู่กับจุดหมาย หลายคนก็หลายแห่ง ซ้ายบ้าง ขวาบาง เมื่อมีการดึงเส้นด้ายนั้น ประเทศก็จะเดินหน้าไปได้ในแนวทางต่างๆ แน่นอนมันยังสามารถเดินไปข้างหน้า แต่หากถึงจุดๆ หนึ่งที่มันพยายามเดินแต่ถูกรั้งไว้ด้วยซ้ายและขวา มันก็ไปไหนไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้นำที่จะมาจัดระเบียบแบบแผนให้มีจุดมุ่งหมายตรงกัน ปรับเปลี่ยนวิธีการและแนวทางเพื่อจะมุ่งสู่ข้างหน้าอย่างเดียว นั่นจึงเป็นการเดินหน้าได้อีกต่ออีกทอดหนึ่ง

ปฏิรูปประเทศไทย อนาคตประเทศไทย

อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในระยะนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงจุดที่สิ้นสุดในการฉุดรั้ง แต่อาจเป็นจุดที่จะมีการเปลี่ยนจุดเดินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายว่า ประเทศควรเดินไปในทิศทางไหนกันแน่ แต่ก็ยังคงมีบางกลุ่มคน บางพรรคพวกพยายามที่จะดึงดันในแนวทางของตนเองทั้งซ้ายและขวา มันเลยทำให้มองไม่เห็นว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าหรือถอยหลังกันแน่

อยากเดินหน้าไปด้วยกัน อยากปฏิรูปประเทศไทยไปด้วยกัน ควรจะเปลี่ยนจุดยืนนำพาประเทศไปข้างหน้า ไม่ใช่พาไปซ้าย หรือไปขวา ตามใจ เพราะประเทศไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปศาล ดีที่สุด

ในอดีตการตัดสินปัญหามักจะใช้ศาลเตี้ย หรือตัดสินความถูกผิดกันเองด้วยอำนาจบารมี ใครมีอำนาจมากกว่าก็ย่อมจะไม่ผิด จนต่อมามีการประกาศใช้กฏหมายขึ้น ทำให้เห็นความชอบธรรมเนื่องจากตัวบทกฏหมายนั้นต้องใช้หลักฐานในการอ้างอิงเพื่อให้ผู้กระทำความผิดยอมจำนนด้วยหลักฐานต่างๆ ประชาชนจะไม่มีความเหลื่อมล้ำกันในเรื่องความผิด ใครผิดจริงก็ต้องชดใช้ความผิด ไม่มีการจับผู้บริสุทธิ์เพื่อโยนความผิดให้ จนกระทั่งเกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้นในกรณีที่ระบบทุนนิยมเข้ามาขยายอำนาจ ทุกคนเห็นดีเห็นงามไปกับทุน และหากจะมีการปฏิรูป ควรจะปฏิรูปประเทศไทยในระบบยุติธรรมเสียก่อน

ระบบทุนนิยมทำให้มีผลในทุกเรื่อง ผู้มีอำนาจในด้านต่างๆ มักจะต้องการความร่ำรวย หากใครมีทุนหนาก็สามารถที่จะซื้อตัว ซื้อเกียรติและศักดิ์ศรีได้ ด้วยทุนที่เค้ามี ในระบบปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ศาลที่มีหน้าที่ตัดสินความผิดความถูก กลับละเลยเรื่องความยุติธรรม ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มให้ระบบทุนนิยมเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เราควรปฏิรูปประเทศไทย ควรปฏิรูประบบศาล ในเมื่อไม่มีความยุติธรรม เราก็ไม่ควรจะเอาไว้

ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปศาล ดีที่สุด

เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการตัดสินชี้ขาดของศาลในระบบ ว่าไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้น ควรจะมีการปฏิรูปประเทศไทย ในระบบศาลนี้ ยกเลิกการแต่งตั้ง แต่ควรให้ทุกระบบโดยเฉพาะศาล มีการคัดเลือกทดสอบโดยประชาชน ไม่ใช่ผ่านการคัดเลือกจากกลุ่มคนไม่กี่คน เพราะกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าศาลในปัจจุบัน เป็นกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะมีอำนาจล้นฟ้าจะตัดสินใคร ชี้เป็นชี้ตายใครก็สามารถทำได้ ซึ่งในความเป็นจริง มันไม่ควรจะมีระบบนี้มาตั้งแต่แรก

ทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับศาลคือ การยกเลิกระบบศาลเดิมในเรื่องการสรรหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ ไม่เอาวิธีสรรหาด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้ง แต่ควรใช้วิธีสรรหาด้วยการเลือกโดยประชาชนทั้งประเทศ โดยเอาผลงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเข้ามาพิจารณาเกี่ยวข้อง รวมไปถึงกลุ่มคนที่มีเพียงหยิบมือนี้ ไม่ควรมอบอำนาจให้จนล้นฟ้า หากตัดสินในเรื่องที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถปลดได้ด้วยคำสั่งประชาชน

ทุกวันนี้ประเทศย่อยยับหนึ่งในระบบที่ทำลายประเทศก็คือ ศาล นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ห้องเรียนปฏิรูป

เข้าไปอ่าน g+ ของคุณปานรพีนักข่าวคนสวยเห็นหัวข้อเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาของอาเซียน โดยอันดับคุณภาพการศึกษาอาเซียน และประเทศไทยไปอยู่อันดับ 8 จาก 10 ประเทศ แพ้ลาวและกัมพูชา โดยมีความเห็นจากสมาชิกว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้แย่ไปกว่าเขา แต่เรามักจะคิดว่าเราเหนือกว่าประเทศอื่นเขา เพราะเรามักจะพูดกันเสมอว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ณ วันนี้เรามีประชากรกว่า 70 ล้านคน แต่เราปฏิรูปประเทศไทยและมีการพัฒนาเพื่อคนเพียงแค่ 10 ล้านคนเท่านั้น แล้วลักษณะแบบนี้เราจะไปสู้กับใครเขาได้ เราไม่เคยมองอะไรไปไกลจากตัวเอง เรามองแต่ตัวเองไม่ได้มองประเทศชาติ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 10-20 ปีคนเก่งก็จะล้มหายตายจากไป ประเทศเราจะอยู่อันดับที่ 11 ในฐานะคนชนเผ่าไทยดั้งเดิมในประวัติศาสตร์ของอาเชียน

ปฏิรูปประเทศไทย คุณภาพการศึกษาของอาเซียน


หากเรารู้สึกตัวทันยังสามารถช่วยกันได้ โดยถามตัวเองก่อนว่าเรารักประเทศไทยจริงหรือเปล่า ในความรู้สึกคนกว่า 70 ล้านคนรักประเทศไทยจริงๆ เกือบทุกคน แต่มีเพียง 10 ล้านคนเท่านั้นที่รัฐทุ่มเทงบประมาณมากมายเพื่อให้เขาอยู่ดีกินดี แล้ว 10 ล้านคนเหล่านั้น เขารักประเทศไทยแค่ไหน หรือหวังเพียงกอบโกย อดคิดในทางไม่ดีไม่ได้เพราะถ้าพวกเค้าหวังดีทำไมประเทศไทยยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน บางคนบอกมันง่ายที่จะจัดการผู้บริหารประเทศปฏิรูปประเทศไทย แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็ล่วงเลยมาจนถึงวัยอันแก่เฒ่าแล้ว (แล้วไหนบอกว่าจะจัดการ)

เพิ่มเติมคลิปนี้ ดูเอาว่าปัจจุบันนี้ เราควรจะมีการพัฒนาปรับปรุงระบบการศึกษาได้หรือยัง บางทีอาจไฮเทคเกินไปสำหรับประเทศไทย สำหรับเรา บางคนอาจคิดว่าเป็นแค่การโฆษณา ทำจริงๆ คงไม่ได้ นั่นก็แล้วแต่ความคิด แม้เราอาจจะไม่ต้องถึงกับใช้เทคโนโลยีขนาดนี้กับการเรียนการสอน แต่แนวคิดที่จะให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เมื่อหลายปีก่อนมันยังคงหลงเหลืออยู่ในระบบการศึกษาไทยอีกหรือเปล่า

ประเทศเราอาจจะมีโรงเรียนอนุบาลที่มีค่าเล่าเรียนแพงมากและคิดว่าเด็กที่จบออกมาจะมีคุณภาพ แต่เปล่าเลย หลายแห่งสอนแค่ให้เด็กสอบเข้าเรียนชั้นประถมโรงเรียนมีชื่อได้เท่านั้น และสถาบันการศึกษาที่เน้นให้เด็กๆ จินตนาการมันหมดไปตั้งแต่เด็กเรียนจบชั้นอนุบาล เพราะตั้งแต่ประถมไปจนถึงปริญญา เราไม่มีสถาบันการศึกษาไหนต่อยอดให้เด็ก มีแต่การท่องจำและจบออกมาก็ต้องไปเป็นพนักงานกินเงินเดือน ถึงเวลาหรือยังที่เราจะปฏิรูปประเทศไทย เราจะปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาให้ก้าวกระโดดแซงประเทศอื่นในอาเซียนได้



หมดยุคความเย่อหยิ่งว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศไหนได้แล้ว หมดยุคความเย่อหยิ่งที่ประเทศเราอุดมสมบูรณ์ได้แล้ว หมดยุคความเย่อหยิ่งที่ประเทศเราจะไม่พึ่งพาประเทศอื่นได้แล้ว เพราะอีก 10-20 ปี หากเรายังคงหยุดนิ่ง อาจจะต้องกลายเป็นเดินตามหลังคนอื่นและต้องร้องขอแต่ความช่วยเหลือไปทุกเมื่อด้วยซ้ำไป ต้องการอย่างนั้นหรือคนไทย..

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปไปรษณีย์ไทย

คุณคิดว่าไปรษณีย์ไทยควรจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในเรื่องการให้บริการไหมครับ? ผมคิดว่าควรจะมีอย่างยิ่ง ดังกระแสทาง Social network ทั้งหลายในเรื่องของการร้องเรียนเกี่ยวกับการส่งของ ของไปรษณีย์ไทยว่านับวันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็เพิ่มขึ้น มีระบบการจัดการที่หลากหลายมากขึ้น เมื่อก่อนมีเจ้าหน้าที่ส่งของจะพกสมุดเป็นเล่มๆ เพื่อให้ผู้รับของเซ็นต์รับรอง ปัจจุบันมีการใช้เครื่องมือเซ็นต์ลายเซ็นต์ออนไลน์แล้วไม่ต้องพกสมุดจดกันให้เมื่อยเป็นการปฏิรูปประเทศไทยด้านเทคโนโลยีการส่งของ ของไปรษณีย์ไทย

แนะนำการปฏิรูปประเทศไทยกับระบบส่งของไปรษณีย์ไทย


แต่รู้ไหมครับ แม้ไปรษณีย์จะมีระบบตรวจสอบ tracking number มีระบบการส่งของรับของไฮเทคแค่ไหน แต่วิธีการขนส่งก็ยังคงเป็นแบบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน นั่นคือใช้คนจับของทุกอย่างที่ต้องการโยน ไม่ว่าจะโยนลงถัง โยนขึ้นรถ โยนใส่นั่นใส่นี่ จึงเป็นที่มาแห่งกระแสดังทางโซเชียล กล่าวหาว่าควรจะพัฒนาได้แล้ว ควรปฏิรูปประเทศไทยได้แล้วในเรื่องของการโยนของแบบนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกใช้กันแล้ว ถ้าบุคลากรไม่เพียงพอทำไมไม่สรรหามาเพิ่ม อุปกรณ์ไม่มีทำไมไม่สรรหามาใช้ ทำไมยังใช้ระบบเดิมๆ อยู่



มีคนแซวว่า คงต้องเขียนติดไว้บนกล่องหรือซองว่า "ห้ามโยน" แต่ก็ไม่ได้ผล ดูเหมือนพนักงานไปรษณีย์ที่ทำหน้าที่นั้น อ่านไม่ออก หรือไม่ตั้งใจอ่าน หรือเพราะเอากล่องหรือของใส่ถุงพัสดุเพื่อรวบรวมไว้กับพัสพุอื่นๆ แล้ว จึงมองไม่เห็นข้อความขอร้องว่า "ห้ามโยน"



ไปรษณีย์ชี้แจงเรื่องโยนของ



จะเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเงินว่าแพงหรือไม่แพงที่ผู้ใช้บริการสนใจ แต่เป็นเรื่องของการบริการของผู้ให้บริการ เป็นเรื่องของจิตสำนึก (ของแพงบางอย่างก็แตกหักด้วยวิธีการเดียวกัน "โยนของ") ย้ำหลายครั้งแล้วว่าหากพัฒนาคนไม่ได้ พัฒนาจิตสำนึกในการเสียสละไม่ได้ ต่อให้มีการปฏิรูปประเทศไทยซักกี่หนกี่ครั้ง ประเทศเราก็ยังไปไม่ถึงไหน

วันศุกร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2557

สังคมเมืองพาประเทศก้าวไกล

ตามปกติแล้วการเติบโตของสังคมเมืองสามารถอิงการเติบโตของประเทศได้ร้อยละ 30 ของภาพเศรษฐกิจโดยรวม ในปัจจุบันเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรโลกมีถิ่นอาศัยในเมือง แต่หากย้อนกลับไปเมื่อ 50-60 ปีก่อนหน้านั้นจะพบว่าประชากรส่วนใหญ่อาศัยตามชนบทและป่าเขา มีประชากรเพียง 30% เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในเมือง เนื่องจากสาเหตุความวุ่นวายและภาวะต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ลำบากยากยิ่ง แต่ปัจจุบันไม่ใช่อย่างนั้น

เฉพาะในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน เพราะมีการปฏิรูปประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง และการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ ส่งผลให้วิถีชีวิตของประชากรในเมืองมีความสะดวกสะบายมากขึ้นและไม่มีภาวะกดดันทางการเมืองใดๆ มีระบบการคมนาคมขนส่งที่ดี มีระบบแรงงาน ระบบสาธารณูปโภค อาหาร เสื้อผ้า และที่อยู่อาศัยที่ดีมากขึ้น ประชากรที่เคยอาศัยในชนบทก็เริ่มย้ายถิ่นฐานเข้ามาปักหลักในเมืองมากขึ้น หรือชุมชนไหนมีการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้นก็ตั้งตัวเป็นเมืองเล็ก และขยายระบบให้ใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นเมืองใหญ่ ประชากรทั้งหลายเริ่มแสวงหารายได้และสิ่งอำนวยความสะดวก เนื่องจากง่ายขึ้นไม่ต้องไปผจญกับอันตรายในป่าเขาและชนบทอันห่างไกล ทำให้มีประชากรมากขึ้นด้วยความต้องการปัจจัยการดำรงชีวิตที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

ปฏิรูปประเทศไทยและปฏิรูปสังคม


ในขณะเดียวกัน นโยบายของประเทศที่มุ่งกระจายรายได้และการพัฒนาไปสู่ชนบท มีบทบาทมากขึ้นสามารถช่วยยกระดับการพัฒนาสังคมชนบทไปสู่การเป็นสังคมเมืองมากขึ้น แนวโน้มความเจริญของประเทศก็เพิ่มมากขึ้น เข้าข่ายลักษณะในการปฏิรูปประเทศไทยมาตั้งแต่ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ในลักษณะนี้ธุรกิจที่ได้ประโยชน์สูงสุดคือพวกก่อสร้าง วัสดุก่อสร้าง พลังงาน โทรคมนาคม อินเตอร์เน็ต อาหารสำเร็จรูป เสื้อผ้า เครื่องประดับ รถยนต์ เมื่อมีความต้องการพัฒนาธุรกิจ ความต้องการด้านแรงงานก็ตามมา เมื่อแรงงานมากรายได้แรงงานก็อยู่ได้ ธุรกิจก็เติบโต ทำให้ประเทศเติบโต จากสังคมชนบทที่ถูกยกระดับเป็นสังคมเมือง เมืองแล้วเมืองเล่า จนนำพาประเทศเข้าสู่ยุคปฏิรูปประเทศไทยยุคใหม่

เมื่อนั้นประเทศไทยก็จะก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากขึ้น แต่จะรอให้ถึงวันนั้น ทุกฝ่ายควรหันหน้าเข้าหากัน แม้ไม่ใช่เป็นตัวหลักในการส่งเสริมและตัดสินใจ แต่ร่วมกันเสนอแนวคิดและหาแนวทางเพื่อแก้ไขปัญหานำพาประเทศให้เดินหน้าต่อไป ใช่ว่าจะทำกันไม่ได้ แต่ไม่อยากทำกันมากกว่า เพราะอะไร..

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2557

แนะปฏิรูปแต่ขาดแนวทาง

ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีนักวิชาการหลายท่าน ได้ทยอยกันออกมาบอกกล่าวและป่าวประกาศว่า ตัวเค้ามีแนวคิดในการปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร และบอกเป็นนัยว่ามีข้อย่อยหลายอย่างแบบละเอียดยิบ ถ้าหากพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือได้ก็คงจะได้หลายเล่มอยู่ แต่รู้สึกว่าเท่าที่ฟังๆ และอ่านมาคร่าวๆ จนแทบจะไม่อยากอ่านต่อ มันเหมือนมีอะไรบางอย่างขาดหายไป

รู้ไหมครับว่ามันมีข้อผิดพลาดตรงไหนบ้าง จริงๆ แล้วแนวคิดในการปฏิรูปนั้นดีและเยี่ยมยอดทั้งหมด แทบจะไม่มีที่ติเลยก็ว่าได้ หากลองคิดเล่นๆ ว่าถ้านำเรื่องเหล่านั้นมาปฏิบัติและทำได้จริงประเทศคงจะก้าวหน้าไปอย่างน้อยๆ 20 ปีแน่นอน ด้วยปกตินักวิชาการจะเชี่ยวชาญในด้านมุมมองของบุคคลที่สาม ทำตัวเสมือนประหนึ่งว่าปัญหาทุกอย่างล้วนแก้ไขได้ง่ายๆ ในมุมมองของหลักวิชาการ ล้วนบ่งบอกถึงว่าแนวทางการแก้ปัญหาให้กับประเทศไทยในตอนนี้ต้องกระทำแบบเร่งด่วน ด้วยการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น บลาๆๆ... ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปในด้าน... บลาๆๆ

แสดงรายการที่ออกจากการคิดวิเคราะห์อันแยบยลออกมาเป็นข้อๆ อันหลากหลาย ว่าเราควรที่จะมีการปฏิรูปประเทศไทยในด้านนั้นด้านนี้มากมายก่ายกอง เรียกว่าใครอ่านก็คล้อยตามกันไปเลย และพาลนึกไปว่า เฮ่ย..นี่ประเทศมันเหลวแหลกขนาดนี้เลยเหรอ ถึงต้องมีการปฏิรูปกันรอบด้านขนาดนั้น

แต่จนแล้วจนรอดเมื่ออ่านจนจบกลับรู้สึกว่ายังมีบางสิ่งบางอย่าง ที่ยังไม่ได้ถูกพูดถึง ยังมีบางเรื่อง ที่อาจจะถูกลืมไป เรื่องอะไรกันนะ....

แนวทางการปฏิรูปประเทศไทย


แน่นอน แนวคิดที่ว่ามานั้นเราจะพบกับวิธีการปฏิรูปประเทศไทยที่จะสามารถนำมาใช้ได้จริงทุกข้อและทุกเรื่อง เสนอแนวทางและแนวคิดในการปฏิรูป นั่น โน่น นี่ อย่างนั้น อย่างนี้ สิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นเรื่องอันหลากหลาย แต่ดันมาตกม้าตายด้วยเรื่องที่ลืมบอก... (แกล้งลืมหรือทำเป็นไม่รู้ ตั้งใจหรือลืมไปจริงๆ)

เรื่องที่ไม่ได้เอ่ยถึง คือ...

ในเนื้อหา ไม่ได้บอกหรือแนะนำ หรือเสนอแนวคิดเกี่ยวกับ วิธีการแก้ไขและการแก้ปัญหาว่าควรทำอย่างไร (เหมือนปล่อยให้คิดกันเอง) แนวทางในการปฏิรูปประเทศไทยที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้าในภายภาคหน้า ไม่ได้เสนอแนะว่าจะต้องทำอย่างไร จะให้ฝ่ายไหนรับผิดชอบ จะทำอะไรบ้าง ทำที่ไหน เมื่อไหร่ และทำอย่างไร ไม่ได้บอกไว้ บอกไว้แค่เรื่องที่ควรปฏิรูป แต่ไม่ได้บอกว่าต้องทำอย่างไร...

บอกมาแค่ว่า สิ่งนั้นควรปฏิรูป สิ่งนี้ก็ควรปรับปรุง สิ่งโน้นก็ต้องทำอย่างเร่งด่วน...

สรุปแล้วก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย เพราะต้องมานั่งหาบทสรุปถึงวิธีการว่าจะต้องทำอย่างไร มีขั้นตอนอย่างไรที่สามารถทำได้จริง หรือเราต้องมานั่งเทียนคิดกันแบบวิชาการไปเองอีกว่า มันควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เดาสุ่มกันไป ประเทศเราก็อาจจะเจริญก็เป็นได้ บลาๆ..

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

ทดลองปฏิรูปประเทศไทย

อ่ะนะ จั่วหัวข้อไปเล่นๆ แต่ถ้าจะทดลองทำจริงๆ คงต้องเป็นนายกฯ หรือเป็นรองนายกฯ ก่อนถึงจะทำได้ แต่เนื้อหาภายในบล็อกส่วนนี้ (เพียง 1 บล็อก) จัดทำขึ้นเพื่อเสริมให้กับการปฏิรูปประเทศไทยให้เข้มแข็งและเข้าหน้าหนึ่งได้ก่อนสิ้นเดือนพฤษภาคม 57 นี้ เรียกว่าเมื่อหมดหน้าร้อนแล้วยังไม่สามารถทำคีย์เวิร์ดนี้ขึ้นหน้าแรกได้ ก็ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง

เอาล่ะ มาเข้าเรื่องดีกว่า บล็อกนี้ไม่ได้มีคุณภาพอย่างที่คุณเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้ไร้คุณภาพจนเอาไปทำน้ำยาอะไรไม่ได้ เพราะหากคนที่เข้ามาอ่านก็พอจะรู้เรื่องบ้างไม่มากก็น้อย ไม่ได้มีการสปินบทความ ไม่ได้มีการก๊อบบทความ ไม่ได้มีการดัดแปลงแก้ไขอะไรเลย มีแต่เขียนใหม่กันสดๆ ด้วยมันสมองสองมืออันเพี้ยนๆ ของผมเองทั้งนั้น

จะถามว่าแล้วมันเกี่ยวกับเรื่องปฏิรูปประเทศไทยตรงไหน ก็เกี่ยวสิ เพราะอย่างน้อยๆ ผมจะทำบล็อกนี้เพื่อที่จะดันบล็อกหลักให้เข้าอันดับ แต่หากบล็อกนี้ที่มีเนื้อหาอันไร้สาระและไม่ไร้สาระเล็กๆ น้อยๆ ทำให้มันแซงหน้าคู่แข่งอย่างหนังสือพิมพ์การเมืองหลายๆ ฉบับด้วยคีย์เวิร์ดดังกล่าวก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

ทดลองการปฏิรูปประเทศไทยกับแนวทางตัวเอง
จริงๆ ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมเขียนบทความ ผมฝาก link ใน youtube ผมเข้าไปแจมลิ้งกลับหลายแห่ง แต่พอมาตรวจสอบทีหลังกลับพบว่าลิ้งเหล่านั้นล้วนหายและอันตรธานไปเสียแล้ว แล้วจะเอาอะไรมาเสริมกำลังเพื่อให้บล็อกแนวคิดการปฏิรูปประเทศไทยของผมอันหลักมันไต่ขึ้นอันดับไปได้ ไม่รู้ครับ ผมก็ทำแต่บล็อกก็คงต้องใช้บล็อกในการดันอันดับตามวิธีของ ebook เล่มหนึ่งเท่านั้นเอง

ประกอบกับความรู้งูๆ ปลาๆ ที่พอจะไปวัดไปวาได้เอามาเสริมทัพ หลายคนคงแปลกใจที่ทำไมบล็อกกระหลั่วๆ แบบนี้ติดหน้าแรก ไม่ต้องถึงคุณหรอก ผมเองเจ้าของบล็อกก็แปลกใจครับ เอาเป็นว่าถ้าการทดสอบคีย์เวิร์ดดังกล่าวทำให้อันดับบล็อกเข้าหน้าหนึ่งและติดหนึ่งใน 5 ได้ก็เป็นพระคุณอย่างมากแล้ว ขอช่วยๆ กันหน่อยนะครับ คุณช่วยได้โดยการให้กำลังใจผมและสนับสนุนผมด้วยการแนะนำสิ่งที่เราควรจะปฏิรูปประเทศนี้กันก็พอ

่ว่างๆ ก็เม้นเข้ามาได้นะครับเปิดรับทุกความคิด

เปิดรับความคิดเห็น การปฏิรูปประเทศไทย

อยากจะเปิดรับความคิดเห็นสำหรับแนวคิดในการปฏิรูปประเทศไทย ว่าเราควรจะทำอะไรก่อน ไม่จำเป็นว่าการปฏิรูปนั้นจะเน้นไปในเรื่องการเมืองอย่างเดียว ไม่จำเป็นเลย เพราะในการเปลี่ยนแปลงระบบใดๆ ก็ตาม ถึงแม้ว่าภาพรวมเราจะมีแนวคิดที่เกี่ยวกับระบบหลักซึ่งทำงานสอดคล้องกับหลายๆ ระบบและเห็นเป็นรูปร่างที่แน่ชัดและชัดเจน แต่ในบางครั้งในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยแต่ส่งผลมหาศาลนั้น ระบบหลักอาจไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปมากนัก กลับกัน ระบบที่ขับเคลื่อนอยู่ภายใต้แนวคิดหลักต่างหาก ที่ถูกเปลี่ยนแปลงแต่ยังคงสภาพเดิมให้เห็นโดยที่หลายคนอาจคิดว่า มันดูเหมือนไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรื่องใกล้ตัว อย่างที่เห็นได้ชัดเจนคือ ราคาวัสดุในการผลิตอาหาร ข้าว เครื่องปรุงรส ตลอดจนค่าขนส่ง ค่าโสหุ้ยต่างๆ โดยระบบหลักโดยรวมจะมีผลกระทบแบบมหาศาลด้วยการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในระบบเล็กๆ เช่น หากฟาร์มไก่ไข่ขอขึ้นราคาไข่ไก่จากฟองละ 2 บาทเป็น 3-4 บาท จะมีผลกระทบกับเรื่องใดบ้าง

อย่างแรกคือ ราคาไข่เจียว ไข่ดาวของร้านอาหารตามสั่งจะถูกตั้งราคาบวกเพิ่มอย่างน้อย 5 บาท บางร้าน 7 บาท ถึงแม้ว่าราคาไข่ไก่จะปรับตัวฟองละเพียง 1-2 บาทก็ตาม แต่ร้านอาหารต่างๆ จะแห่ขึ้นราคาเป็นมาตรฐานคือ +5 บาททุกอย่าง
อย่างที่สอง เมื่อร้านอาหารขึ้นราคา กระบวนการผลิตต่างๆ ที่ใช้วัสดุที่เป็นไข่ไก่ จะพลอยฟ้าฝนไปด้วยแม้ว่าจะไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนักก็ตามเช่น ขนมที่มีส่วนผสมของไข่ไก่ทั้งหลาย
อย่างที่สาม บรรดาห้างร้านและผู้ประกอบการที่มีรายได้จากกระบวนการที่หนึ่งและสอง ต่างก็อ้างว่ามีผลกำไรเท่าเดิมในขณะที่ราคาไข่ไก่ปรับตัวสูงขึ้น โดยรายได้หลักไม่ได้มาจากการขายไข่ไก่เลย แต่มาจากการให้เช่าพื้นที่เปิดร้านอาหาร แต่เห็นว่าร้านอาหารทำรายได้มากแต่จ่ายค่าเช่าน้อย เลยพากันขยับปรับตัวกันอีก

ความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย
สุดท้าย บรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของรถหรือยานพาหนะใดๆ ที่บรรทุกสินค้าได้ก็จะแห่กันขึ้นราคาโดยอ้างว่าต้นทุนเพิ่มขึ้น

ผู้ได้ประโยชน์เป็นผู้ประกอบการตั้งแต่ลำดับ 2 จนกระทั่งจบก่อนจะถึงผู้บริโภค

ผู้เสียประโยชน์คือผู้ผลิตและผู้บริโภค เป็นผู้ที่อยู่ลำดับแรกสุดและท้ายสุดของห่วงโซ่อาหารในยุคปัจจุบัน

นี่อาจเป็นความคิดเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย ในเรื่องของลำดับค่าใช้จ่ายในการครองชีพของคนในประเทศ

ในขณะที่เงินเดือนและค่าแรงในประเทศไทยเอง แม้ว่าจะมีประกาศออกมาแล้วว่าเพิ่มอัตรารายได้ในค่าแรงขั้นต่ำ แต่ในบางสถานประกอบการ ก็ยังคงจ่ายค่าจ้างในจำนวนเท่าเดิม ไม่ได้แยแสต่อกระแสสังคมและแนวทางที่รัฐกำหนดเลย แบบนี้ควรจะมีการปฏิรูปประเทศไทยในเรื่องนี้หรือไม่?? แล้วแนวคิดนี้ ท่านคิดว่าควรจะปฏิรูปในด้านไหน คุณภาพชีวิต รายได้ประชากร หรือต้องไปปรับแก้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ หรืออื่นๆ

จริงๆ แล้วเรื่องใกล้ตัวของเราก็มีหลายเรื่องที่รอการปฏิรูป เพียงแต่เราชินชาและคุุ้นเคยจนดูเหมือนว่ามันไม่ใช่ปัญหาและเป็นอุปสรรคใดๆ เท่านั้น เพราะในความเป็นจริง ความอดทนของประชาชนมันมีสูงกว่าค่าแรงและราคาไข่ไก่อีกตั้งเยอะ ใช่หรือไม่

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2557

จะปฏิรูปประเทศไทย ควรทำอะไรก่อน

หลายคนอาจจะรู้แล้วว่า ปฏิรูปประเทศไทย คืออะไร แต่ผมจะไม่มานั่งอธิบายว่ามันเป็นอย่างไรมันจะต้องไปในแนวทางไหนที่ควรจะเป็น แต่เราจะมานั่งหาแนวทางและทางออกของการปฏิรูปนี้กันก่อน ว่าทำไมถึงต้องมีการปฏิรูป แล้วจะทำไปทำไม ทำไปเพื่ออะไร แม้จะรู้จุดประสงค์ว่าทำไปเพื่ออะไรทำไปทำไม แล้วอยากจะถามว่าจะต้องทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก หรือทำไปพร้อมๆ กัน

เรารู้อยู่แล้วว่าเมื่อเราอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม เราจำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิม อะไรที่มันแย่เราต้องปรับปรุงแก้ไข แล้วอะไรที่แย่ในประเทศไทยที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างเร่งด่วนและเป็นวาระสำคัญในอันดับแรกสุด คำตอบคือเกือบทั้งหมดเป็นสิ่งที่แย่และต้องปรับปรุงแก้ไข ทุกอย่างแย่หมด และที่มาที่ไปของคำว่าแย่ก็คือ คนไทยไร้จิตสำนึกของความเป็นส่วนรวม คนไทยมีจิตใจโอบอ้อมอารีย์อย่างเห็นได้ชัดแต่พอชีวิตสบายเกิน จิตใจที่ดีเหล่านั้นจะกลายเป็นการดูถูกดูแคลนและไร้จิตสำนึกในส่วนรวมไปโดยสิ้นเชิง

หรือเรากำลังจะปฏิรูปประเทศไทย เพื่อให้คนไทยเข้าสู่ยุคความเห็นแก่ตัว หรือเราต้องการจะปรับเปลี่ยนประเทศไทยให้เข้าสู่ยุคเห็นแก่ตัว

เคยมีใครจำได้ไหมว่าถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อ 40-50 ปีก่อนกลุ่มคนส่วนใหญ่ของประเทศไทยยังคงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่ในยุคปัจจุบันนี้ที่สังคมทุกวันล้วนแต่ตัวใครตัวมัน คนรวยก็จะรวยยิ่งขึ้น คนจนก็ไม่เคยหลุดพ้นจากความจน สวัสดิการของรัฐก็ยังไม่ตอบโจทย์แก่คนหาเช้ากินค่ำและมนุษย์เงินเดือนได้ บ้านและคอนโดผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดตามแนวรถไฟฟ้า ดูเหมือนการจราจรในเมืองหลวงจะพัฒนาไปอย่างรวดเร็วแต่ถนนหนทางก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นต่างกับผู้คนและจำนวนรถบนท้องถนนกลับยิ่งทวีคูณจำนวนมากขึ้นทุกวัน นี่หรือคือการพัฒนา

ปฏิรูปประเทศไทย ควรทำอะไรก่อน
ทุกหนแห่งเหมือนจะมีความเดือดร้อนกันไปหมดทุกหัวระแหง แล้วเราจะเปลี่ยนแปลงอะไรก่อนดี หันซ้ายแลขวา ทุกอย่างควรถูกเปลี่ยนแปลงให้หมด แต่จะเริ่มต้นที่ตรงไหนก่อนดี จะปฏิรูปประเทศไทยในจุดไหนก่อนเป็นอันดับแรก

แม้เรื่องหลักๆ จะถูกคิดและวิเคราะห์มาอย่างดีแล้วไม่ว่าจะเป็น ด้านการท่องเที่ยว ที่จะต้องเน้นคุณภาพ เพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและทำรายได้ให้มากในแต่ละปี แต่ประเทศเรากลับมีแหล่งท่องเที่ยวที่เสื่อมโทรมลงทุกวันๆ แม้จะมีการพยายามหาแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ ส่งคนเข้าไปรุกรานพัฒนาที่อันสวยงามและเป็นธรรมชาติมาสร้างรายได้ แต่กลับขาดการรณรงค์ให้คนเที่ยวมีจิตสำนึกถึงส่วนรวมและธรรมชาติของการอยู่ร่วมกัน

ในด้านอุตสาหกรรม แม้ประเทศไทยไม่ได้ถือว่าเป็นแหล่งอุตสาหกรรมหลักของโลก ในบางพื้นที่มีการตั้งนิคมอุสาหกรรม ผลิตสินค้าคุณภาพแต่ค่าแรงสำหรับแรงงานกลับต่ำกว่ามาตรฐาน

หรือในเรื่องของการศึกษา แม้ว่าเด็กไทยจะเก่งและชนะการประกวดแข่งขันโอลิมปิกด้านวิชาการหลายสาขา แต่คนส่วนใหญ่ยังใช้คำพูดที่ผิดๆ แถมครูบาอาจารย์บางคนยังสะกดคำไทยบางคำไม่ถูกต้อง และคนไทยก็ยังคงอ่านหนังสือกันไม่เกิน 4 บรรทัดต่อปี บางพื้นที่การศึกษายังเข้าไปไม่ถึง ต่างกับในเมืองที่มีสถานศึกษาค่าเทอมแพง หรือการศึกษาเว้นไว้เฉพาะคนรวยเท่านั้น

นี่หรือคือทางออกของประเทศ นี่หรือ??

วันศุกร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2557

วงการ IT ควรปฏิรูปหรือไม่?

ตอนนี้เรื่องอะไรที่กำลังฮิตสุดๆ คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง Heartbleed bug แต่จะเอาเรื่อง IT มาเขียนเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศไทย คงจะไม่เหมาะ แต่ก็นะ ไหนๆ ก็เป็นเรื่องที่คนหลายคนสนใจ ก็เลยจับเข้าประเด็นไปเลย ไม่ได้ยากเย็นอะไร เพราะหัวข้อนี้มันกว้างอยู่แล้ว ก็เนื่องจากไม่ได้เน้นเรื่องการเมืองทั้งหมด ก็มีให้เขียนหลากหลาย คิดว่าครอบคลุมหมดทุกภาคส่วนเลยก็ว่าได้เกี่ยวกับเรื่องการปฏิรูปอะไรแบบนี้

เข้าเรื่องเลยดีกว่า เพราะความดังของ Heartbleed bug หลายคนเลยถามว่ามันคืออะไร

มันก็เป็นความผิดพลาดและช่องโหว่ของระบบนั่นเอง ซึ่งปกติเว็บไซต์มีชื่อหลายแห่ง โดยเฉพาะระบบธนาคารออนไลน์ และระบบอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มากต่างๆ เค้าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยของตัวเอง แต่เมื่อมีการเชื่อมต่อ และมีการรับส่งข้อมูลระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นเรากับเว็บไซต์ เรากับ server เรากับเครือข่ายใดๆ ข้อมูลต่างๆ ที่เราใช้ก็จะถูกเข้ารหัสแปลงข้อมูลให้กลายเป็นตัวสัญลักษณ์ต่างๆ ที่คนไม่สามารถอ่านได้ เรียกสั้นๆ ว่า ถูก encryption ไปเรียบร้อย การจะเข้าไปอ่านได้เป็นภาษาที่มนุษย์เข้าใจ จำเป็นต้องมีกุญแจถอดรหัสที่ถูกต้องเท่านั้น

ส่วนนี้เองที่เป็นปัญหา Heartbleed bug เพราะระบบการเข้ารหัสนี้ ดันเกิดมีช่องโหว่ ให้ใครซักคนเข้ามาทำการเอาข้อมูลไปได้
และเจ้ารู้รั่วเหล่านี้ก็ทำให้เหล่าบรรดานักเจาะระบบทั้งหลายที่มีความสามารถ ทำการเจาะผ่านระบบรักษาความปลอดภัยนี้เพื่อไปเอาข้อมูลที่ไป แม้เป็นข้อมูลที่ถูกเข้ารหัสแล้วก็ตาม แต่ไม่ได้ยากสำหรับนักเจาะทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในส่วนของ Username, Password หรือส่วนที่เข้าทำการโพสต์ อัพเดท หรือการทำธุรกรรมต่างๆ ภายใต้ชื่อเราได้ทั้งหมด

ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปวงการ IT


ถามว่านักเจาะระบบเอาข้อมูลนี้ที่ตรงไหน เค้าก็เจาะเข้าไปตามองค์กรใหญ่ๆ ในเว็บ server จำพวก Google, Facebook, Instagram, Twitter และบริการออนไลน์ชื่อดังแทบทั้งหมด รวมถึงธนาคารต่างๆ อาจโดนปัญหานี้กันถ้วนหน้า เค้าไม่ได้เข้ามาเอาที่เครื่องเรา แต่เค้าเข้าไปเอาที่เครื่องที่เก็บข้อมูลของทุกคนเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลานั่นเอง

และนี่อาจจะเป็นรูรั่วที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อินเทอร์เนตในยุคนี้เลยก็ว่าได้ เราควรมีการปฏิรูปประเทศไทย เพราะหลังจากนี้ไม่กี่วันเราอาจจะได้ยินข่าวว่าบัญชีธนาคารจำนวนมากถูกขโมยไป ก็ไม่ต้องไปแปลกใจ แม้จะมีประโยคสั้นๆ แต่ได้ใจความว่า ใครทำผิดก็ไปจับตัวมาลงโทษสิ แต่มันไม่ง่ายนัก เพราะนักเจาะระบบที่สามารถค้นหารูรั่วอย่าง Heartbleed bug นี้ และใครก็ตามที่สามารถ download ข้อมูลผ่านช่องโหว่นี้ได้ จะไม่เหลือร่องรอยอะไรให้ตามจับได้เลย หากมีปัญหาแล้วก็ไม่สามารถที่จะจะจับมือใครดมไม่ได้

ทางแก้ทางเดียวคือผู้ให้บริการจะโบ้ยความผิดไปให้ผู้ใช้บริการ และจะบอกหน้าตาเฉยว่า เราเป็นคนทำธุรกรรมนั้น ก็ต้องรับผิดชอบเอง หรือ เค้าไม่อาจรับผิดชอบได้กับการทำธุรกรรมดังกล่าวเพราะถือว่าผู้ใช้นั้นเป็นผู้กระทำและไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ให้ดี สังเกตุไหมว่า ไม่ว่าคุณจะเก็บรักษาข้อมูลพวกนี้ดีอย่างไร แม้เครื่องคุณจะสะอาดไร้พิษภัยจากนักเจาะระบบต่างๆ แต่คุณก็ไม่สามารถรับรองได้ว่า เครื่องที่เก็บข้อมูลของคุณอีกแห่งที่อยู่ปลายทาง จะปลอดภัยดีแค่ไหน แบบนี้ถือเป็นเรื่องร้ายแรงและต้องมีการปรับปรุงแก้ไขเป็นการด่วน

เกิดปัญหานี้แล้วเว็บไซต์ต่างๆ จะแก้ไขปัญหาได้เร็วขนาดไหน? สำหรับการหยุดปัญหานี้ เว็บไซต์ที่มีรูโหว่จำเป็นต้องทำการอัพเดทระบบความปลอดภัยทุกระบบ เรียกว่าเป็นการปฏิรูปองค์กรการรักษาความปลอดภัยกันเลยทีเดียว และก็ทำการเปลี่ยนพาสเวิร์ดของผู้ใช้ใหม่ทั้งหมด ซึ่งหลายๆ เว็บได้ทำการแก้ไขแล้วแต่อย่าคิดว่ามันจะจบง่ายๆ เพราะตราบใดที่ยังมีเว็บที่ยังไม่ทำการปฏิรูป และอุดรูรั่วนี้ให้เรียบร้อยเหล่าอาชญากรรวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ ที่มีนักเจาะระบบเก่งๆ ก็สามารถเข้าส่องบัญชีของเราได้อย่างง่ายดายโดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วเราจะต้องป้องกันตัวเองได้อย่างไร? คำถามที่มาพร้อมกับคำตอบเดิมๆ คือ ความปลอดภัยเบื้องต้นที่ยังสามารถใช้ได้ไปตลอดชีวิตคือ เปลี่ยน Password ซะในทุกๆ บริการที่คุณใช้ประจำ

ทำแค่นี้เพียงพอหรือเปล่า? ก็อย่างที่บอก แม้เครื่องเราจะปลอดภัย แต่เราก็รับประกันไม่ได้ว่าเครื่องต้นทางที่เราเข้าไปใช้ข้อมูล จะปลอดภัยดีแค่ไหน ก็แค่ภาวนาว่าให้เค้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการอุดรูรั่วและช่องโหว่เหล่านั้นให้สิ้น ที่สำคัญ ไม่ควรใช้ password เดียวกันในทุกๆ id

ปัญหา Heartbleed Bug นี้มีเกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว แต่ทำไมข่าวมันเพิ่งมาฮิตกันตอนนี้ก็ไม่เข้าใจ หรือนี่จะเป็นแผนโปรโมทหนัง Transcendence ก็ไม่รู้ ที่สำคัญ หากเป็นจริงอย่างที่ข่าวกล่าวอ้าง การปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูประบบการรักษาความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมออนไลน์ เพื่อให้ได้มีมาตรฐานเท่าเทียมกับประเทศที่เค้าพัฒนาแล้วนั้น ควรจะมีด้วยอย่างยิ่ง

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

ปฏิรูปประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง

ลองดูเล่นๆ เกี่ยวกับหัวข้อ ปฏิรูปประเทศไทยนี้นั้น ลองค้นหาเว็บที่มีเนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องที่เป็นประโยชน์จริงๆ มีน้อยมาก โดยเริ่มตั้งแต่การค้นหาคำที่บอกว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น ไม่ต้องระบุหรือจำกัดความเกี่ยวกับปฏิรูปแบบเจาะจงก็ได้ แต่การแสดงผลการค้นหาส่วนใหญ่ก็จะมีแต่เรื่องของ การเมือง เข้ามาเกี่ยวข้อง ดูเหมือนว่าการนี้แลปัจจุบันนี้ ทุกเป้าหมายล้วนมุ่งไปสู่การเมืองอย่างเดียว โดยหลายฝ่ายเชื่อว่า ถ้าเปลี่ยนระบบการเมืองได้ การจะปฏิรูปประเทศไทยก็จะง่ายขึ้น เสมือนเปลี่ยนหัวซะ ตัวหรือหางจะสำคัญแค่ไหนกันเดี๋ยวก็เปลี่ยนตามกันเอง แบบว่าง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ

หากคิดแบบนี้แล้วแสดงว่า การเมืองเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ระดับชาติ อย่างนั้นหรอกหรือ?

ปฏิรูปประเทศไทย ไม่ใช่แค่เรื่องการเมือง


หนูไม่เข้าใจจริงๆ เพราะยังมีเรื่องอื่นๆ อีกมากมายที่ควรทำก่อน อย่างการที่เราหิวแล้วไม่มีอะไรในครัวให้กิน อันดับแรกเราควรทำอะไรก่อน ออกไปทำงานหาเงินเพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าว หรือไปขอข้าวเค้ากินก่อนทำงานใช้ ถ้าเลือกอย่างแรก มีหวังกว่างานจะเสร็จคงตายก่อน ถ้าเลือกอย่างสองบางคนอาจมีอคติอีกในหลายเรื่อง

แต่ในความเป็นจริง หากเราไปขอทำงานแล้วบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลยมาทั้งวัน กว่า 80% จะให้ข้าวกินก่อน

นั่นเพราะความสำคัญของร่างกายโดยรวม สำคัญกว่าสิ่งอื่น ส่วนรวมสำคัญกว่าสิ่งอื่น หากจะถามว่า ถ้าเป็นไปได้จะปฏิรูปประเทศไทยในส่วนไหนก่อน ก็ตอบไม่ได้ แต่การเมืองไม่ใช่เรื่องอันดับหนึ่งที่จะต้องเปลี่ยนแปลง เพราะในช่วงระยะเวลากว่าขวบปีที่ผ่านมานั้น ประเทศไทยก็ไร้ซึ่งการเมือง การเมืองของประเทศไทยหยุดชงักมาตั้งแต่ปี 2556 จนกระทั่งมาปีนี้ 2557 ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีการเริ่มต้นใหม่ๆ อะไรได้ แต่ประเทศก็ยังคงเดินไปข้างหน้า แต่เดินแบบเอื่อยเฉื่อย เพราะทีท่านักลงทุน ยังคงไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ปัจจุบัน หากคิดกันเล่นๆ ว่า ถ้าไม่มีการชุมนุม แม้หากไม่มีนักการเมือง เชื่อแน่ว่าประเทศจะเดินไปข้างหน้าได้เร็วกว่านี้ แม้จะไม่ได้เต็มที่ก็ตาม

ปฏิรูปแบบไหนก็ทำไป แต่คงไม่ใช่การเมืองอย่างเดียวอย่างที่เข้าใจกันเหมือนทุกวันนี้แน่ๆ

ปฏิรูปประเทศไทย แบบเล่นๆ

ลองคิดเล่นๆ ถ้าเราจะปฏิรูปอะไรซักอย่างกับประเทศไทย เราอยากทำอะไรก่อนเป็นอันดับแรก อยากจะเสนอแนวคิดเป็นข้อๆ แต่เราไม่ใช่วิชาการ และไม่ได้มีความรู้รอบด้านในเรื่องต่างๆ ที่จะต้องนำเสนอและหาแนวทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบระเบียบทั้งหลาย ที่เค้ามีมาก่อนหน้านั้นแล้วหลายสิบหลายร้อยปี คนบางคนบอกว่า ถ้าจะเปลี่ยนอะไรซักอย่างที่มันมีมาเป็นสิบๆ หรือเป็นร้อยๆ ปีมาแล้วจะยากมากๆ เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่มี เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง

ทำไมมันยาก...

คำว่าเปลี่ยนแปลง มันมีผลต่อจิตใจ บางคนจะรับไม่ได้ เพราะนั่นมันจะหมายถึงการทำลายสิ่งที่มีอยู่เดิม จริงๆ แล้วการเปลี่ยนแปลงในบางอย่างอาจไม่จำเป็นต้องทำลายระบบเดิม แต่ความกลัว มันเข้าไปควบคุมจนเกิดอาการที่เรียกว่า กลัวอนาคต กลัวความเปลี่ยนแปลง เพราะคาดเดาได้ยาก แม้จะคาดเดาได้แต่ก็ยังกลัว

ทำไมถึงกลัวการเปลี่ยนแปลง

คนปกติมักจะไม่ชอบ เพราะเค้าเคยคุ้นชินกับสิ่งเดิมๆ การปฏิรูปประเทศไทย ก็เหมือนกัน เป็นการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างชนิดที่เรียกว่า อาจเปลี่ยนทุกอย่างไปเลย แท้จริงอาจจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงทันที แต่ข้อที่เกิดจากความกลัวอนาคต นั่นทำให้อาการที่รับรู้มาคือ มันจะเปลี่ยนไปทุกสิ่ง สิ่งเดิมๆ จะไม่มีอยู่ และจะหายไป สิ่งที่คุ้นชินจะไม่อยู่ ความกลัวก็เข้ามาครอบงำ ทำให้ไม่อยากที่จะเปลี่ยน

แล้วจะทำอย่างไร

คงไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้มันเป็นไปตามกระแสสังคม ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแต่ก็ไม่ควรเปลี่ยนทุกอย่าง เป็นต้นว่าในเรื่องของจิตใจ ความรู้สึก ความเป็นคน ไม่ควรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและเทคโนโลยี บางคนชอบพูดว่า เมืองเจริญขึ้นแต่จิตใจคนต่ำลง นั่นคือไม่ได้พัฒนาจิตใจให้เปลี่ยนตามความเจริญของวัตถุ

อยากให้อะไรเปลี่ยน วันหลังจะมาบอกเป็นหัวข้อๆ