วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เราโตกันมาอย่างไร

เคยคิดกันไหมครับ ว่าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรา ที่มีความสามารถเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีได้ และท่านก็เป็นคนดีได้ จนสามารถนำพาครอบครัวไปสู่ความสำเร็จ มีเงินมีทองให้เราใช้จนเหลือเฟือกันทุกวันนี้ เค้าเลี้ยงเรามาอย่างไร ปล่อยปละละเลย หรือเลี้ยงด้วยไม้เรียว ผมเชื่อแน่ว่าคนในวัย 30+ หรือบางคนอยู่ในวัย 25+ เคยผ่านไม้เรียวมาก่อน และแน่นอน ไม้เรียวนั้นมันทำให้เราเป็นคนดีและมีคุณภาพอย่างไร น่าจะรู้กันดี ทีนี้อยากจะเอาไม้เรียวมาเปรียบกับการปฏิรูปประเทศไทยซักเล็กน้อย

ไม้เรียวเกี่ยวอะไรกับประเทศไทย จริงๆ เราทุกคนที่เป็นคนไทยมักไม่ชอบคิดเอง แต่ก็ไม่อาจบอกได้ทั้งหมดว่าคนไทยบางส่วนเป็นคนหัวสมัยใหม่ตามสมัยนิยมที่มีความคิดเสรีชน แต่โดยทั่วไปคนไทยเกือบจะครึ่งค่อนประเทศ ไม่ชอบการคิดเองแต่ชอบที่จะทำตาม แม้ในบางครั้งการให้หัวข้อไปนั่งคิดจะเกิดเป็นไอเดียใหม่ๆ ที่ทำให้มีความคิดนอกกรอบ แต่กระทั้งสิ่งแรกสุดคือ คนไทยไม่ชอบเริ่มก่อน และชอบมีนิสัยที่จะต้องใช้การบังคับกันเล็กๆ น้อยๆ พอเป็นพิธี เพื่อที่จะทำให้ไฟในตัวลุกโชนขึ้นได้ คนไทยจึงมีนิสัยชอบโดนบังคับกลายๆ อยู่ในสายเลือด เพราะหากให้เดินเองจะเป๋ไปเป๋มา ไม่เจริญเสียที แม้ในบางครั้ง แน่นอนว่าเดินไปถึงความสำเร็จแต่อาจจะใช้เวลานานไปซักหน่อย ผิดกับคนที่มีผู้ชี้ทาง กลุ่มคนเหล่านั้นจะมีโอกาสสำเร็จเร็วและยั่งยืนกว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมการปฏิรูปประเทศไทย จำเป็นต้องมีการบังคับจับมือให้ทำกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่อย่างนั้น ไม่มีทางสำเร็จได้

จะปฏิรูปประเทศไทย ต้องปรับที่ครอบครัว


ประเทศอื่นที่มีพวกหัวสมัยใหม่ ไม่ชอบการบังคับ เพราะเค้าถูกปลูกฝังมาแต่เล็กเกี่ยวกับเสรีภาพในการใช้ชีวิต ในต่างประเทศเมื่อวัยรุ่นเข้าสู่ช่วงอายุหนึ่งจะต้องออกไปผจญโลกกว้างด้วยตัวเอง เหมือนลูกนกที่พ่อแม่สอนให้บินสอนหาอาหารจนเก่งแล้วจะต้องใช้ชีวิตเอง แต่สำหรับคนไทย ลูกๆ สามารถเกาะและอยู่กับพ่อแม่จนแก่เฒ่าได้โดยที่สังคมไม่มีการตำหนิใดๆ แต่จะผิดกับครอบครัวต่างประเทศที่หากครอบครัวไหนมีลูกๆ ที่ยังเกาะพ่อแม่กินจนอายุเข้าวัยกลางคน เค้าจะถูกสังคมประนามกลายๆ

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมประเทศต่างชาติเจริญเอาๆ เพราะแต่ละคนจะต้องหัดมีความคิดและความเป็นอยู่ รวมทั้งความรับผิดชอบต่อทุกส่วนด้วยตัวเอง แต่ในครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ไม่มีแนวคิดจะพึ่งพาตนเองแต่แรก แต่กลับจะให้พ่อแม่คอยชี้แนะไปจนตาย หากเราจะปฏิรูปประเทศไทย เราต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดในการสอนวิธีเอาตัวรอดและการรับผิดชอบต่อสังคมเสียใหม่ ไม่ใช่อะไรๆ ก็ต้องคอยชี้แนะ ต้องหวดกันด้วยไม้เรียวไปตลอด

หรือว่าประเทศไทยไม่เหมาะกับการขาดไม้เรียวจนชั่วลูกชั่วหลาน

วันอังคารที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เหตุเพราะความเหลื่อมล้ำ

เคยคิดไหมว่า สาเหตุทั้งหมดที่ประเทศไทยประสบปัญหาไปต่อไม่ได้นี่เป็นเพราะอะไร และที่หลายกลุ่มออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศไทยในเร็ววันนั้น จริงๆ เค้าต้องการอะไร และคนส่วนใหญ่ที่ออกมาบ่นว่ามันไม่ยุติธรรมนั้น เค้าต้องการอะไรในส่วนลึก คงไม่ใช่ต้องการไล่ใครซักคนออกนอกประเทศ หรือไล่เครือญาติเค้าให้ไปจากประเทศ เพราะถึงแม้ว่าพวกเค้าจะไม่อยู่ในประเทศนี้ อย่างไรเสียเยื่อใยหรือความเกี่ยวข้อง มันก็ต้องมีอยู่ไม่สามารถตัดขาดจากกันได้ง่ายๆ หรือหากให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมาบริหารบ้านเมืองแทน คิดหรือว่าประเทศจะไปต่อได้ไกลแค่ไหนก็เท่าที่เค้าเคยบริหารมาตั้งแต่สมัยเราๆ ยังเป็นเด็ก มันก็ไม่ได้เจริญไปกว่า สิงคโปร์ มาเลเซีย เลยด้วยซ้ำ

แล้วเหตุการณ์ความวุ่นวายทั้งหลายนี้เกิดจากสาเหตุใด ความไม่ยุติธรรม และความเหลื่อมล้ำทางสังคม ปากท้องของชนชาวไทยที่มีจำนวนมากและส่วนใหญ่ของประเทศในระดับล่าง หรือชนชั้นล่าง ถือเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดี ความเจริญก้าวหน้าของประเทศไม่ได้วัดกันด้วยกลุ่มคนรวยชั้นสูงเพียงหยิบมือ เพราะพวกเค้าเหล่านั้น ไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ก็ไม่สามารถตัดประเด็นไปได้เช่นกัน เสมือนไม่สามารถตัดชนชั้นแรงงานไปได้เช่นกัน เพราะปัจจัยที่ทำให้ประเทศเดินไปได้ ก็ด้วยการจับจ่ายใช้สอยสินค้าที่นำไปสู่ความต้องการของคนกลุ่มนี้มีมากที่สุดนั่นเอง หากจับจุดไม่ได้ว่าทำไมถึงมีความขัดแย้งและจะมา ปฏิรูปประเทศไทยสักกี่ครั้ง ก็ไม่มีทางหลุดพ้นเงื่อนงำเก่าลงได้

ประเด็นหลักคือการทุจริต ข้าว ที่เป็นที่มาของความจำเป็นของชาวนา และเป็นที่มาของการทุจริตในโครงการต่างๆ ไม่ใช่ว่ารัฐบาลปัจจุบัน (2556) จะบริสุทธิ์ และไม่ใช่ว่าโครงการเกี่ยวกับข้าวของรัฐบาลชุดก่อนจะดี (2553) แต่ทำไมในยุคนี้คนทั่วไปถึงคิดว่ามีการทุจริตกันในวงกว้าง เพราะตรวจสอบแล้วว่า ข้าวในโกดังหายไปถึงสองจุดแปดล้านตัน ยังคงคลุมเครือว่าหายไปไหน แต่ในความเป็นจริง ข้าวไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้เน่า เพราะหากข้าวจำนวนมากขนาดนั้นเน่า ย่อมส่งกลิ่นเหม็นกันทั้งประเทศ มันไม่ได้หาย แต่มันไปอยู่ต่างประเทศ

เหตุเพราะความเหลื่อมล้ำ ทุจริตข้าว


ในวงการค้าข้าวย่อมรู้ดีว่า การส่งออกข้าวนั้น ประเทศไทยยังคงเป็นอันดับต้นๆ แล้วเค้าเอาข้าวที่ไหนไปขาย ในเมื่อปีๆ นึงข้าวจะสามารถผลิตได้ไม่ต่างกันมากนัก แต่จำนวนส่งออกกลับไม่ได้เพิ่มหรือลดลงจนเรียกว่า ข้าวหมดสต๊อกได้ แล้วข้าวไปไหน แน่นอน ผู้ส่งออกก็เอาข้าวที่รัฐมี หรือที่ชาวนาผลิตนั้น ส่งออกไปตามปกติ เพียงแต่ส่วนต่างที่มีนั้น มาจากรัฐบาลในขณะนั้น

ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน ก็สนับสนุนให้มีการส่งออกข้าวได้ตามปกติ ต่างกันแค่ว่ากรรมวิธีในการได้ข้าวมานั้น แตกต่างกันแค่ไหน ข้าวไม่ได้หายไปไหน แต่เล็ดรอดขั้นตอนจากโกดังไปยังมือผู้ส่งออกทำให้หลายคนมองไม่เห็น จึงคิดไปว่า ข้าวหาย

ปฏิรูปประเทศไทยในครั้งนี้ ควรสอบถามผู้ส่งออกข้าวทุกราย ว่าได้ข้าวมาอย่างไร ใครเป็นคนสนับสนุน แต่จะว่าไปใครจะบอกกันง่ายๆ ความซวยจึงตกแก่ชาวนา ได้เงินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ต่อให้นโยบายดีอย่างไร แต่หากขั้นตอนถูกแทรกแซง มีการทุจริต ความยากจนของชาวนาก็ยังคงไม่หลุดพ้นไปจากชีวิต ความเหลื่อมล้ำทางสังคมก็จะมีอยู่ร่ำไป

แต่ใครจะสน หากมองในมุมธุรกิจ ความเคยชินต่อการโกงและการเอาเปรียบ มันเข้าไปในกระแสเลือดยากที่จะหยั่งถึง ใครจะไปสนคนชนชั้นแรงงาน เมื่อความเดือดร้อนเพิ่มชนแรงงานก็ไม่ทน สรุป วังวนปัญหาที่หาทางรอดไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

โค้งสุดท้าย ปฏิรูปประเทศไทย มาแรง

ครับ โค้งสุดท้ายแล้ว ไม่น่าจะใช้เวลาเกินเดือน กรกฏาคม 57 นี้ สำหรับการตกลงว่าฝ่ายไหนจะเอาอย่างไรโดยที่ ทหารเป็นตัวกลางในการเจรจาต่อรอง เพื่อให้ประเทศได้เดินไปข้างหน้าอย่างด่วน เพราะหลายปัจจัยได้จี้ประเทศไทยเข้ามาแล้วว่า ประเทศนี้จำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศไทยอย่างเร่งด่วนได้แล้ว รอไม่ได้แล้ว ขืนนานกว่านี้อาจตามหลังเวียดนาม พม่า ลาว กัมพูชาไปอีกร้อยปี แม้จะฟื้นตัวได้ทันแต่ก็ไม่แน่ว่าจะตามทัน

กับความตึงเครียดจากหลายปัจจัยที่ทำให้ประเทศไทยหยุดชงักมาอย่างยาวนานหลายปีที่ผ่านมา แม้จะมีอะไรๆ ที่ทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้แต่ก็ยังคงล้มลุกคลุกคลานกัน จนตอนนี้ประเทศเราได้ยืนสงบนิ่งแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และพร้อมที่จะก้าวเดินใหม่อย่างมั่นคนด้วยการปลดพันธกิจทั้งหลายที่พยายามฉุดรั้งประเทศมาอย่างยาวนานออกด้วยน้ำมือ ทหารหาญของเราเอง ผู้ปกป้องประเทศจากข้าศึกและระบบที่ไม่เป็นธรรม เพื่อให้มีการปฏิรูปประเทศไทยให้เกิดขึ้นอย่างเร็วรี่ เพราะบอบช้ำมานานมากแล้ว

ลองปฏิรูปประเทศไทยกับแนวคิดใหม่


เวลานี้ข่าวไม่ว่าจะสำนักไหนล้วนแต่มีหัวข้อของ ทหารกุมอำนาจเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ใครจะว่าไม่ดี หรือใครจะว่าดี ก็แล้วแต่ความคิด สำหรับผม อะไรก็ตามที่ทำให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าได้ก็ดีทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นระบบไหนก็ดีทั้งนั้น ขออย่าจำกัดสิทธิ์ในการใช้ชีวิตของประชาชนก็พอ จะทำอะไรก็ดีทั้งนั้น

ในเวลานี้ แต่ขออย่างเดียว อย่าปิด 7-11 ก่อน 4 ทุ่มได้ไหม คนมันหิวข้าวกลางดึก

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปประเทศไทย ก่อนจะไปเลือกตั้ง?

หลากหลายแนวทางที่ได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับปฏิรูปประเทศไทย ก่อนเลือกตั้ง ผมคงไม่ไปสรุปแนวความคิดของหลายๆ คนที่ให้คำจำกัดความไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ที่อยากจะเห็นประเทศไทยเดินไปข้างหน้าและ ไม่เชื่อถือระบบเลือกตั้งจึงต้องมีการเรียกร้องให้มีการปฏิรูประบบก่อน ในความเป็นจริงคงเป็นไปไม่ได้เพราะหากจะปฏิรูปมันก็ต้องมีการออกกฏเกณฑ์ในหลายๆ ส่วน แล้วกฏเกณฑ์เหล่านั้นอาจถูกบัญญัติไปเป็นกฏหมาย แล้วใครมีอำนาจเสนอร่างกฏหมายและประกาศใช้ ก็ต้องเป็นคณะรัฐมนตรีและ สส.ในสภาฯ นั่นแหละ แล้วทีนี้เมื่อไม่มีการเลือกตั้ง รัฐบาลไม่มี สส.ไม่อยู่ รัฐมนตรีทั้งหลายล้วนถูกไล่ออก ใครจะเป็นคนทำในส่วนนี้

อย่าบอกนะว่าใช้มาตรการฉุกเฉินประกาศด้วยอำนาจเฉพาะกลุ่ม พูดให้สวยหรูไปเลยดีกว่าว่าจะปฏิวัติ หรือรัฐประหาร เพราะในเมื่อผู้มีอำนาจไม่มี ก็ตั้งตนเป็นผู้มีอำนาจเต็มที่เพื่อจะประกาศใช้เสียเอง ไม่ต่างอะไรกับการมัดมือมัดเท้าประชาชนและตั้งตนเป็นผู้ปกครองเสียเอง ระบบอะไรคุ้นๆ กันไหม มันไม่ใช่การปฏิรูปประเทศไทย แต่มันเป็นการยึดอำนาจ

แล้วการไม่เชื่อระบบเลือกตั้ง จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ในหลายๆ ความเห็นต่างๆ กันไม่มีใครเสนอแนวคิดที่ดีเลย ว่าทำอย่างไร การปฏิรูปประเทศไทยจริงๆ เป้าหมายการปฏิรูปนั้นก็ชัดเจนทุกกลุ่ม คือ การลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดคอร์รัปชัน กระจายอำนาจและทรัพยากร วิธีการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจ พัฒนาศักยภาพมนุษย์ เพิ่มผลิตภาพโดยรวม และกระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจ

เหล่านี้ล้วนเป็นแนวคิดแต่วิธีการก็ละเอียดอ่อน ไม่มีที่ไหนเสนอแนวทางออกให้แก่ประเทศไทยด้วยวิธีการที่จะนำไปใช้ได้จริง

หาแนวทาง ปฏิรูปประเทศไทย ให้เดินไปข้างหน้า
วันนี้ผมอยากจะเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาในหัวข้อการตรวจสอบการเลือกตั้งและกระบวนการตรวจสอบของการเข้าสู่อำนาจผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่เป็น สส.สว. หรือสามารถนำไปใช้กับการเลือกตั้งได้ทุกระบบดังนี้

1. ให้ผู้สมัครเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกทุกส่วนโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เพื่อความโปร่งใส ประชาชนทุกคนล้วนมีสิทธิ์ในการวิพากษ์วิจารณ์ได้ในทุกเรื่องยกเว้นเรื่องส่วนตัวโดยไม่ผิดกฏหมาย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการหาเสียง
2. การคัดสรรผู้สมัคร จะต้องมีการตรวจสอบทรัพย์สินทุกรายการ รวมถึงที่มาที่ไปของเงินรายได้ทั้งหมด พร้อมระบุเครือข่าย หัวคะแนน ฯลฯ ทุกข้อมูลที่จะส่งผลให้ผู้สมัครได้คะแนนนิยม
3. หากมีหรือเจอกรณีทุจริต ให้ผู้สมัครเหล่านั้นเคลียร์ให้ชัดเจนต่อสาธารณะชน และศาลตัดสินแล้วว่าไม่ผิดจริง ถึงจะลงสมัครได้ ไม่ใช่อยู่ในระหว่างพิจารณาคดี หรือมีด้านมืดที่ทุกคนรู้ แต่ไม่มีใครกล้าแตะ แบบนี้ไม่สามารถลงเลือกตั้งได้
4. ต้องมีผลงานที่ประจักษ์แก่สายตาประชาชนมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี เพราะฉะนั้นแล้ว หากผู้ใดต้องการรับใช้บ้านเมือง คุณจะต้องเสียสละให้แก่บ้านเมืองโดยไม่หวังผลมาแล้วกว่า 5 ปี หากไม่มีผลงานใดๆ ก็ไม่ให้ลงสมัคร ยกเว้นไม่มีผู้สมัครเพียงพอ ให้ใช้ความดีที่มีลดหลั่นกันไปได้
5. มีนโยบายที่สามารถทำได้จริง ปฏิบัติได้จริง ไม่ใช่คิดนโยบายเพื่ออยากดัง สร้างความเพ้อฝัน แต่ทำไม่ได้จริง ก็ไม่ให้ลงสมัคร
6. ผู้สมัครต้องไม่สังกัดพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองนี่แหละ เป็นตัวถ่วงดุลอำนาจประเทศอย่างเห็นได้ชัด หากไม่มีพวกพ้อง การคอรัปชั่นก็จะเกิดยาก ทุกคนทำหน้าที่ตัวเอง ทำให้ชาติเจริญ ไม่ใช่ทำให้พรรคเจริญ
7. คะแนนจากประชาชนถือเป็นมติสวรรค์ องค์กรอิสระอย่าง กกต. ไม่สามารถคัดค้าน หรือระงับ หรือละเลยการพิจารณาผู้สมัครที่มีคะแนนเสียงมากให้ชนะได้ กกต.สามารถทำได้ตามหน้าที่คือ จัดการ ตรวจสอบ และรับรองเท่านั้น
8. ในสภา สส.และ สว. เลือกตั้งกันเองว่าใครจะเป็นฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่ายค้าน เลือกผู้นำฝ่ายกันเอง โดยไม่มีเงื่อนไขของพรรคการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคนเป็นอิสระจากกัน ลบและล้างระบบการเลือกตั้งนายกรัฐมลตรีจากประชาชน ประชาชนเลือกเฉพาะ สส. สว. ส่วน สส. สว. เข้าไปเลือกนายก ไม่ใช่เหมือนในปัจจุบัน ลงสมัครนายกตั้งแต่ยังไม่ได้เลือก สส. แบบนี้ยกเลิกไปเลย
9. งบประมาณแบ่งสรรปันส่วนให้เท่ากัน และตั้งกฏเกณฑ์ทุกกระทรวงต้องมีกำไรไม่น้อยกว่า 10% ของงบประมาณรายได้ที่เบิกจ่าย คุณจะเอาเงินส่วนหนึ่งไปลงทุนอะไรก็แล้วแต่ จะต้องมีกำไรเข้ามาอย่างน้อย 10% ของงบประมาณ ถ้าไม่มีกำไร ปีต่อไปก็ต้องลดงบประมาณกระทรวงนั้นลง 10% แต่หากทำกำไรได้ ก็ได้งบเพิ่มอีกสูงสุด 10% เพื่อป้องกันไม่ให้เอาเงินไปกินกันเองจนพุงกาง
10. สส. สว. ต้องมาจากการเลือกตั้ง และไม่สังกัดพรรคการเมือง มีวาระ 4 ปีเท่ากัน ครบวาระเลือกใหม่ทั้งระบบ ถ้าใครคนใดไม่ทำหน้าที่ในข้อ 4 ก็อย่าหวังว่าจะได้เกิด
11. หมดยุกเครือข่าย ญาติมิตร ครอบครัวนักการเมือง ครอบครัวใด ญาติมิตรใดมีหน้าที่เป็นนักการเมือง ครอบครัวนั้น ญาติมิตรนั้น เป็นได้แค่คนเดียว และห้ามครอบครัว ญาติมิตร คนรู้จัก เข้าร่วมประมูลโครงการใดๆของรัฐที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเป็นประธานหรือเจ้าหน้าที่กระทรวงนั้นๆ หากตรวจสอบเจอว่าขัดขืนต้องจ่ายค่าเสียหาย 100% และยกเลิกว่าจ้างทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข

และอีกหลายๆ ข้อยังคิดไม่หมด

ในบางครั้ง กฏระเบียบและแบบแผนหลายอย่าง อาจใช้ไม่ได้กับประเทศไทยและคนไทย ที่มีความเอื้อเฟื้อทำให้คนโกงคนกินไม่รู้จักตายเพราะนิสัยคนไทยที่ชอบใช้คำว่า ช่างมันหรือปล่อยให้เวรกรรมจัดการ มันหมดยุคสมัยไปแล้ว

ก็เป็นแค่แนวคิดขำๆ

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

อนาคตประเทศไทย ใครกำหนด

ถามกันมามากว่า ต่อไปอนาคตประเทศไทย จะเดินหน้าไปในทิศทางไหน ตอบว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ไม่ว่าในอนาคตนั้น ใครจะมากำหนดแนวทางการเดินให้แก่ประเทศต่อไป อย่างไรประเทศก็ต้องผ่านการบอบช้ำมาชนิดที่เรียกว่า หยอดน้ำข้าวต้มกันเลยทีเดียว และยากที่จะกลับมาแข็งแรงได้ดั่งเดิมภายในปีสองปีแรก หากในอนาคตคนกลุ่มเดียวกันหรือพวกพ้องเดียวกันกับผู้บริหารที่ทำให้ประเทศล่มสลาย กลับมาเป็นผู้กุมอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างเดิมแล้วไซ้ ก็ไร้วี่แววว่าจะมีการพัฒนาไปอย่างยั่งยืนได้

แล้วอนาคตประเทศไทย ใครเป็นคนกำหนด จริงๆ แล้วทุกคนสามารถกำหนดแนวทางให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้ เพียงแต่แนวทางของประชาชนทั่วไปนั้นเป็นเหมือนเส้นด้ายที่ผูกโยงอยู่กับจุดหมาย หลายคนก็หลายแห่ง ซ้ายบ้าง ขวาบาง เมื่อมีการดึงเส้นด้ายนั้น ประเทศก็จะเดินหน้าไปได้ในแนวทางต่างๆ แน่นอนมันยังสามารถเดินไปข้างหน้า แต่หากถึงจุดๆ หนึ่งที่มันพยายามเดินแต่ถูกรั้งไว้ด้วยซ้ายและขวา มันก็ไปไหนไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีผู้นำที่จะมาจัดระเบียบแบบแผนให้มีจุดมุ่งหมายตรงกัน ปรับเปลี่ยนวิธีการและแนวทางเพื่อจะมุ่งสู่ข้างหน้าอย่างเดียว นั่นจึงเป็นการเดินหน้าได้อีกต่ออีกทอดหนึ่ง

ปฏิรูปประเทศไทย อนาคตประเทศไทย

อนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร ในระยะนี้อาจจะไม่ได้หมายถึงจุดที่สิ้นสุดในการฉุดรั้ง แต่อาจเป็นจุดที่จะมีการเปลี่ยนจุดเดินเพื่อให้บรรลุเป้าหมายว่า ประเทศควรเดินไปในทิศทางไหนกันแน่ แต่ก็ยังคงมีบางกลุ่มคน บางพรรคพวกพยายามที่จะดึงดันในแนวทางของตนเองทั้งซ้ายและขวา มันเลยทำให้มองไม่เห็นว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าหรือถอยหลังกันแน่

อยากเดินหน้าไปด้วยกัน อยากปฏิรูปประเทศไทยไปด้วยกัน ควรจะเปลี่ยนจุดยืนนำพาประเทศไปข้างหน้า ไม่ใช่พาไปซ้าย หรือไปขวา ตามใจ เพราะประเทศไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของทุกคน

วันพุธที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปศาล ดีที่สุด

ในอดีตการตัดสินปัญหามักจะใช้ศาลเตี้ย หรือตัดสินความถูกผิดกันเองด้วยอำนาจบารมี ใครมีอำนาจมากกว่าก็ย่อมจะไม่ผิด จนต่อมามีการประกาศใช้กฏหมายขึ้น ทำให้เห็นความชอบธรรมเนื่องจากตัวบทกฏหมายนั้นต้องใช้หลักฐานในการอ้างอิงเพื่อให้ผู้กระทำความผิดยอมจำนนด้วยหลักฐานต่างๆ ประชาชนจะไม่มีความเหลื่อมล้ำกันในเรื่องความผิด ใครผิดจริงก็ต้องชดใช้ความผิด ไม่มีการจับผู้บริสุทธิ์เพื่อโยนความผิดให้ จนกระทั่งเกิดความไม่สมดุลเกิดขึ้นในกรณีที่ระบบทุนนิยมเข้ามาขยายอำนาจ ทุกคนเห็นดีเห็นงามไปกับทุน และหากจะมีการปฏิรูป ควรจะปฏิรูปประเทศไทยในระบบยุติธรรมเสียก่อน

ระบบทุนนิยมทำให้มีผลในทุกเรื่อง ผู้มีอำนาจในด้านต่างๆ มักจะต้องการความร่ำรวย หากใครมีทุนหนาก็สามารถที่จะซื้อตัว ซื้อเกียรติและศักดิ์ศรีได้ ด้วยทุนที่เค้ามี ในระบบปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน ศาลที่มีหน้าที่ตัดสินความผิดความถูก กลับละเลยเรื่องความยุติธรรม ก็เท่ากับเป็นการเพิ่มให้ระบบทุนนิยมเหล่านี้แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เราควรปฏิรูปประเทศไทย ควรปฏิรูประบบศาล ในเมื่อไม่มีความยุติธรรม เราก็ไม่ควรจะเอาไว้

ปฏิรูปประเทศไทย ปฏิรูปศาล ดีที่สุด

เห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับการตัดสินชี้ขาดของศาลในระบบ ว่าไม่มีความเป็นธรรมเกิดขึ้น ควรจะมีการปฏิรูปประเทศไทย ในระบบศาลนี้ ยกเลิกการแต่งตั้ง แต่ควรให้ทุกระบบโดยเฉพาะศาล มีการคัดเลือกทดสอบโดยประชาชน ไม่ใช่ผ่านการคัดเลือกจากกลุ่มคนไม่กี่คน เพราะกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าศาลในปัจจุบัน เป็นกลุ่มคนที่ดูเหมือนจะมีอำนาจล้นฟ้าจะตัดสินใคร ชี้เป็นชี้ตายใครก็สามารถทำได้ ซึ่งในความเป็นจริง มันไม่ควรจะมีระบบนี้มาตั้งแต่แรก

ทางแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับศาลคือ การยกเลิกระบบศาลเดิมในเรื่องการสรรหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ ไม่เอาวิธีสรรหาด้วยการคัดเลือกและแต่งตั้ง แต่ควรใช้วิธีสรรหาด้วยการเลือกโดยประชาชนทั้งประเทศ โดยเอาผลงานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเข้ามาพิจารณาเกี่ยวข้อง รวมไปถึงกลุ่มคนที่มีเพียงหยิบมือนี้ ไม่ควรมอบอำนาจให้จนล้นฟ้า หากตัดสินในเรื่องที่ไม่เหมาะสม ก็สามารถปลดได้ด้วยคำสั่งประชาชน

ทุกวันนี้ประเทศย่อยยับหนึ่งในระบบที่ทำลายประเทศก็คือ ศาล นั่นเอง

วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ห้องเรียนปฏิรูป

เข้าไปอ่าน g+ ของคุณปานรพีนักข่าวคนสวยเห็นหัวข้อเกี่ยวกับคุณภาพการศึกษาของอาเซียน โดยอันดับคุณภาพการศึกษาอาเซียน และประเทศไทยไปอยู่อันดับ 8 จาก 10 ประเทศ แพ้ลาวและกัมพูชา โดยมีความเห็นจากสมาชิกว่า จริงๆ แล้วเราไม่ได้แย่ไปกว่าเขา แต่เรามักจะคิดว่าเราเหนือกว่าประเทศอื่นเขา เพราะเรามักจะพูดกันเสมอว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร ณ วันนี้เรามีประชากรกว่า 70 ล้านคน แต่เราปฏิรูปประเทศไทยและมีการพัฒนาเพื่อคนเพียงแค่ 10 ล้านคนเท่านั้น แล้วลักษณะแบบนี้เราจะไปสู้กับใครเขาได้ เราไม่เคยมองอะไรไปไกลจากตัวเอง เรามองแต่ตัวเองไม่ได้มองประเทศชาติ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ต่อไปอีก 10-20 ปีคนเก่งก็จะล้มหายตายจากไป ประเทศเราจะอยู่อันดับที่ 11 ในฐานะคนชนเผ่าไทยดั้งเดิมในประวัติศาสตร์ของอาเชียน

ปฏิรูปประเทศไทย คุณภาพการศึกษาของอาเซียน


หากเรารู้สึกตัวทันยังสามารถช่วยกันได้ โดยถามตัวเองก่อนว่าเรารักประเทศไทยจริงหรือเปล่า ในความรู้สึกคนกว่า 70 ล้านคนรักประเทศไทยจริงๆ เกือบทุกคน แต่มีเพียง 10 ล้านคนเท่านั้นที่รัฐทุ่มเทงบประมาณมากมายเพื่อให้เขาอยู่ดีกินดี แล้ว 10 ล้านคนเหล่านั้น เขารักประเทศไทยแค่ไหน หรือหวังเพียงกอบโกย อดคิดในทางไม่ดีไม่ได้เพราะถ้าพวกเค้าหวังดีทำไมประเทศไทยยังพัฒนาไปไม่ถึงไหน บางคนบอกมันง่ายที่จะจัดการผู้บริหารประเทศปฏิรูปประเทศไทย แต่พอเอาเข้าจริงๆ มันก็ล่วงเลยมาจนถึงวัยอันแก่เฒ่าแล้ว (แล้วไหนบอกว่าจะจัดการ)

เพิ่มเติมคลิปนี้ ดูเอาว่าปัจจุบันนี้ เราควรจะมีการพัฒนาปรับปรุงระบบการศึกษาได้หรือยัง บางทีอาจไฮเทคเกินไปสำหรับประเทศไทย สำหรับเรา บางคนอาจคิดว่าเป็นแค่การโฆษณา ทำจริงๆ คงไม่ได้ นั่นก็แล้วแต่ความคิด แม้เราอาจจะไม่ต้องถึงกับใช้เทคโนโลยีขนาดนี้กับการเรียนการสอน แต่แนวคิดที่จะให้เด็กเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เมื่อหลายปีก่อนมันยังคงหลงเหลืออยู่ในระบบการศึกษาไทยอีกหรือเปล่า

ประเทศเราอาจจะมีโรงเรียนอนุบาลที่มีค่าเล่าเรียนแพงมากและคิดว่าเด็กที่จบออกมาจะมีคุณภาพ แต่เปล่าเลย หลายแห่งสอนแค่ให้เด็กสอบเข้าเรียนชั้นประถมโรงเรียนมีชื่อได้เท่านั้น และสถาบันการศึกษาที่เน้นให้เด็กๆ จินตนาการมันหมดไปตั้งแต่เด็กเรียนจบชั้นอนุบาล เพราะตั้งแต่ประถมไปจนถึงปริญญา เราไม่มีสถาบันการศึกษาไหนต่อยอดให้เด็ก มีแต่การท่องจำและจบออกมาก็ต้องไปเป็นพนักงานกินเงินเดือน ถึงเวลาหรือยังที่เราจะปฏิรูปประเทศไทย เราจะปรับเปลี่ยนระบบการศึกษาให้ก้าวกระโดดแซงประเทศอื่นในอาเซียนได้



หมดยุคความเย่อหยิ่งว่าเราไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศไหนได้แล้ว หมดยุคความเย่อหยิ่งที่ประเทศเราอุดมสมบูรณ์ได้แล้ว หมดยุคความเย่อหยิ่งที่ประเทศเราจะไม่พึ่งพาประเทศอื่นได้แล้ว เพราะอีก 10-20 ปี หากเรายังคงหยุดนิ่ง อาจจะต้องกลายเป็นเดินตามหลังคนอื่นและต้องร้องขอแต่ความช่วยเหลือไปทุกเมื่อด้วยซ้ำไป ต้องการอย่างนั้นหรือคนไทย..

วันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ปฏิรูปไปรษณีย์ไทย

คุณคิดว่าไปรษณีย์ไทยควรจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในเรื่องการให้บริการไหมครับ? ผมคิดว่าควรจะมีอย่างยิ่ง ดังกระแสทาง Social network ทั้งหลายในเรื่องของการร้องเรียนเกี่ยวกับการส่งของ ของไปรษณีย์ไทยว่านับวันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีก็เพิ่มขึ้น มีระบบการจัดการที่หลากหลายมากขึ้น เมื่อก่อนมีเจ้าหน้าที่ส่งของจะพกสมุดเป็นเล่มๆ เพื่อให้ผู้รับของเซ็นต์รับรอง ปัจจุบันมีการใช้เครื่องมือเซ็นต์ลายเซ็นต์ออนไลน์แล้วไม่ต้องพกสมุดจดกันให้เมื่อยเป็นการปฏิรูปประเทศไทยด้านเทคโนโลยีการส่งของ ของไปรษณีย์ไทย

แนะนำการปฏิรูปประเทศไทยกับระบบส่งของไปรษณีย์ไทย


แต่รู้ไหมครับ แม้ไปรษณีย์จะมีระบบตรวจสอบ tracking number มีระบบการส่งของรับของไฮเทคแค่ไหน แต่วิธีการขนส่งก็ยังคงเป็นแบบเมื่อร้อยกว่าปีก่อน นั่นคือใช้คนจับของทุกอย่างที่ต้องการโยน ไม่ว่าจะโยนลงถัง โยนขึ้นรถ โยนใส่นั่นใส่นี่ จึงเป็นที่มาแห่งกระแสดังทางโซเชียล กล่าวหาว่าควรจะพัฒนาได้แล้ว ควรปฏิรูปประเทศไทยได้แล้วในเรื่องของการโยนของแบบนี้ ไม่มีที่ไหนในโลกใช้กันแล้ว ถ้าบุคลากรไม่เพียงพอทำไมไม่สรรหามาเพิ่ม อุปกรณ์ไม่มีทำไมไม่สรรหามาใช้ ทำไมยังใช้ระบบเดิมๆ อยู่



มีคนแซวว่า คงต้องเขียนติดไว้บนกล่องหรือซองว่า "ห้ามโยน" แต่ก็ไม่ได้ผล ดูเหมือนพนักงานไปรษณีย์ที่ทำหน้าที่นั้น อ่านไม่ออก หรือไม่ตั้งใจอ่าน หรือเพราะเอากล่องหรือของใส่ถุงพัสดุเพื่อรวบรวมไว้กับพัสพุอื่นๆ แล้ว จึงมองไม่เห็นข้อความขอร้องว่า "ห้ามโยน"



ไปรษณีย์ชี้แจงเรื่องโยนของ



จะเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเงินว่าแพงหรือไม่แพงที่ผู้ใช้บริการสนใจ แต่เป็นเรื่องของการบริการของผู้ให้บริการ เป็นเรื่องของจิตสำนึก (ของแพงบางอย่างก็แตกหักด้วยวิธีการเดียวกัน "โยนของ") ย้ำหลายครั้งแล้วว่าหากพัฒนาคนไม่ได้ พัฒนาจิตสำนึกในการเสียสละไม่ได้ ต่อให้มีการปฏิรูปประเทศไทยซักกี่หนกี่ครั้ง ประเทศเราก็ยังไปไม่ถึงไหน