มาล่ะ ปัญหาอย่างหนึ่งที่เป็นปัญหาระดับประเทศของการแก้ไขระบบการพัฒนาประเทศที่เป็นไปได้ยาก นั่นคือ ปัญหาการตีกันของเด็กช่าง แม้หลายฝ่ายจะเสนอแนวทางออกที่ดีและคิดว่าทำได้ดีมาก แต่พอเอาเข้าจริง สันดานของคนกลุ่มนี้ก็จะก่อปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ล่าสุดมีผู้ประสงค์ดีทำความดีโดยการฉีดพ่นสเปรสีขาวเพื่อลบเหล่างานอาร์ตตามกำแพง สะพานลอย เสาทางด่วน เพื่อให้บ้านเมืองสะอาดและเพื่อแก้ตัวในคราวที่เดินทางผิด แต่ทำไปทำมากลับโดนยิงหัวซะงั้น
ปฏิรูปประเทศไทยจะไปรอดได้อย่างไร เมื่ออนาคตของชาติยังทะเลาะเบาะแว้งฆ่ากันเองแบบนี้ แม้จะส่งไปฝึกทหาร ให้มันปรับทัศนคตี ก็ยังคงกลับออกมาก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ผมไม่เข้าใจว่าพวกเค้าต้องการอะไร อยากให้สังคมยอมรับ กระนั้นหรือ?
การแก้ปัญหาเด็กช่างตีกัน และผมมีทางออกคือ จัดโซนให้มันไปอยู่ในสถานที่เดียวกันเลยทั้งประเทศ เรียกว่า เขตอุตสาหกรรมเด็กช่างไปเลย แล้วจัดการเปลี่ยนชื่อสถาบันให้เป็นสถาบันเดียวกันให้หมด แล้วไปเรียนอยู่ในพื้นที่เดียวกันให้หมด ให้มันตีกันเอง ให้มันด่ากันเอง แบบนี้ถึงจะเป็นการแก้ปัญหาเด็กช่างตีกันที่ได้ผลที่สุด
แล้วเราก็จะคอยสนับสนุนอาวุธ ฝึกให้มันเก่ง คนไหนเก่ง พวกไหนเก่ง ก็ค่อยจับมันไปอยู่ชายแดน ไปซ่อมรถถัง ขุดถนน ส่วนพวกเอาดีด้านการเรียนก็ค่อยสนับสนุนให้มันเก่งขึ้นในสายอาชีพ แบบที่เป็นอยู่ เชื่อว่ามีหลายคนเข้าใจ การแก้ปัญหาเด็กช่างตีกัน แบบนี้จะดีไหม
เอาเป็นว่าเริ่มเลอะเทอะแล้วผม
ปฏิรูปประเทศไทย
เราจะเปลี่ยนไทยให้ดีขึ้น เราอยากเปลี่ยนแปลงระบบบางอย่าง เราอยากเห็นการ ปฏิรูปประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ก่อนปฏิรูปประเทศไทย ปรับปรุงตัวเองก่อน
ส่วนหนึ่งในข่าวของ Social Media ที่กำลังเป็นกระแสปฏิรูปประเทศไทยอยู่ในขณะนี้ คือ การรณรงค์ให้เลิกใช้ 7-11 หรือแบนสินค้าของ CP ด้วยโครงการเท่ๆ อย่าง แคมแปนแบน 7-11 เป็นเวลา 5 วัน ผมว่ามันไร้สาระ คือกระแสคนในประเทศเรา โดยเฉพาะคนเมือง อาจจะเป็นแค่ชนกลุ่มน้อยของคนส่วนใหญ่ที่เล่น Social Media แล้วเหมือนจะไม่พอใจกับการผูกขาดสินค้าของแบรนด์ดังๆ บางตัว แล้วพากันยกพวกให้ทำนั่นทำนี่
ปัญหาอื่นผมไม่รู้นะครับ แต่สำหรับการรณรงค์ให้เลิกใช้ 7-11 นี่คงเป็นไปได้ยาก อย่างแรกคือ แม้ร้านประเภทนี้จะมีกำเนิดและมีเปิดบริการเยอะแยะมากมาย แต่ดูเหมือนว่า ร้านที่มาใหม่ จะสู้เจ้าที่เป็นปัญหาได้ซักรายเดียว ที่เห็นได้ชัดเจนพอจะฟัดกันไหวในเรื่องความสะดวกสบายภายใน การบริการ และสินค้า ก็จะมีแบรนด์อย่าง F...M นี่แหละที่พอจะสูสี แต่ยังอ่อนเรื่องจำนวนสาขา และการเข้าถึงเหมือน 7-11 และต้องยกนิ้วให้กับเจ้านี่ ที่สามารถใช้กลยุทธ์ จำนวน และการเข้าถึงประชาชน ได้เยี่ยมโดยที่เจ้าอื่นไม่สามารถทำได้ ถึงมันจะมีเบื้องหลังที่ไม่สวยหรูก็ตาม นั่นก็เป็นเชิงธุรกิจ
ลองนึกดู หากเราไม่ใช้สินค้าเค้า เค้าก็คงไม่ได้รู้สึกจนขึ้นมาซักนิด เพราะธุรกิจเพียงแค่ 1 ในร้อยจะล่มไป ซึ่งมันก็ล้มอยู่ในทุกๆ นาทีของการทำธุรกิจใหม่ๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ได้ อย่าลืมว่า ยักษ์ ไม่ได้มีไข่แค่ฟองเดียว ก่อนจะมองและแห่แหนว่าต้องแบนๆๆ ไม่ใช้ๆ มองตัวเองก่อนดีกว่าว่า ทำได้จริงหรือไม่ ผมมองว่าเรื่องนี้ควรมีการปฏิรูปเป็นการด่วน อาจจะไม่ใช่เชิงการปฏิรูปประเทศไทยอย่างเดียว แต่ควรปฏิรูปความคิดของคนไปด้วย ก่อนที่จะคิดปฏิรูประบบการค้าเชิงผูกขาด
อย่างแรก ตัวเองทำได้ไหมถ้าต้องไม่ใช้สินค้าพื้นฐาน ซึ่งแน่นอน 7-11 มีอยู่เต็มร้าน
อย่างต่อมา คุณเลิกพฤติกรรมที่เคยชินกับการสะดวกสบายเหล่านี้ได้แค่ไหน
อย่างต่อมาอีก คือคู่แข่ง สามารถเติมเต็มความต้องการของคุณได้ดีแค่ไหนที่คุณจะเปลี่ยน
ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า คนเราย่อมต้องการสิ่งที่ดีกว่า แต่ถ้ามาสนใจรายละเอียดเบื้องหลัง จนเลิกที่จะใส่ใจความต้องการของตนเอง ผมว่าคนแบบนี้น่ายกย่อง ถ้าทำได้จริงๆ นะ แต่ถ้าทำไม่ได้แล้วมาปลุกกระแสให้คลั่ง มันก็เป็นได้แค่กระแสคลื่น ไม่มีกำลังมากพอ อีกเดี๋ยวกระแสคลื่นตัวนี้ อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง หากสิ่งที่คุณไปแบนเค้า ขึ้นราคาสินค้า หรืออื่นๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานในสิ่งที่เค้ามีมากกว่าคู่แข่ง
แล้วคุณจะทำอย่างไร ลองนึกกันดูเล่นๆ
แต่ถ้าจะให้เลิกใช้ไปเลย ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ คุณใจแข็งพอไหมล่ะ
ปัญหาอื่นผมไม่รู้นะครับ แต่สำหรับการรณรงค์ให้เลิกใช้ 7-11 นี่คงเป็นไปได้ยาก อย่างแรกคือ แม้ร้านประเภทนี้จะมีกำเนิดและมีเปิดบริการเยอะแยะมากมาย แต่ดูเหมือนว่า ร้านที่มาใหม่ จะสู้เจ้าที่เป็นปัญหาได้ซักรายเดียว ที่เห็นได้ชัดเจนพอจะฟัดกันไหวในเรื่องความสะดวกสบายภายใน การบริการ และสินค้า ก็จะมีแบรนด์อย่าง F...M นี่แหละที่พอจะสูสี แต่ยังอ่อนเรื่องจำนวนสาขา และการเข้าถึงเหมือน 7-11 และต้องยกนิ้วให้กับเจ้านี่ ที่สามารถใช้กลยุทธ์ จำนวน และการเข้าถึงประชาชน ได้เยี่ยมโดยที่เจ้าอื่นไม่สามารถทำได้ ถึงมันจะมีเบื้องหลังที่ไม่สวยหรูก็ตาม นั่นก็เป็นเชิงธุรกิจ
ลองนึกดู หากเราไม่ใช้สินค้าเค้า เค้าก็คงไม่ได้รู้สึกจนขึ้นมาซักนิด เพราะธุรกิจเพียงแค่ 1 ในร้อยจะล่มไป ซึ่งมันก็ล้มอยู่ในทุกๆ นาทีของการทำธุรกิจใหม่ๆ แต่เค้าก็ยังอยู่ได้ อย่าลืมว่า ยักษ์ ไม่ได้มีไข่แค่ฟองเดียว ก่อนจะมองและแห่แหนว่าต้องแบนๆๆ ไม่ใช้ๆ มองตัวเองก่อนดีกว่าว่า ทำได้จริงหรือไม่ ผมมองว่าเรื่องนี้ควรมีการปฏิรูปเป็นการด่วน อาจจะไม่ใช่เชิงการปฏิรูปประเทศไทยอย่างเดียว แต่ควรปฏิรูปความคิดของคนไปด้วย ก่อนที่จะคิดปฏิรูประบบการค้าเชิงผูกขาด
อย่างแรก ตัวเองทำได้ไหมถ้าต้องไม่ใช้สินค้าพื้นฐาน ซึ่งแน่นอน 7-11 มีอยู่เต็มร้าน
อย่างต่อมา คุณเลิกพฤติกรรมที่เคยชินกับการสะดวกสบายเหล่านี้ได้แค่ไหน
อย่างต่อมาอีก คือคู่แข่ง สามารถเติมเต็มความต้องการของคุณได้ดีแค่ไหนที่คุณจะเปลี่ยน
ก็รู้ๆ กันอยู่ว่า คนเราย่อมต้องการสิ่งที่ดีกว่า แต่ถ้ามาสนใจรายละเอียดเบื้องหลัง จนเลิกที่จะใส่ใจความต้องการของตนเอง ผมว่าคนแบบนี้น่ายกย่อง ถ้าทำได้จริงๆ นะ แต่ถ้าทำไม่ได้แล้วมาปลุกกระแสให้คลั่ง มันก็เป็นได้แค่กระแสคลื่น ไม่มีกำลังมากพอ อีกเดี๋ยวกระแสคลื่นตัวนี้ อาจย้อนกลับมาทำร้ายตัวคุณเอง หากสิ่งที่คุณไปแบนเค้า ขึ้นราคาสินค้า หรืออื่นๆ เพื่อยกระดับมาตรฐานในสิ่งที่เค้ามีมากกว่าคู่แข่ง
แล้วคุณจะทำอย่างไร ลองนึกกันดูเล่นๆ
แต่ถ้าจะให้เลิกใช้ไปเลย ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ คุณใจแข็งพอไหมล่ะ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)